Special Interview – Praew Chermawee

แพรวเฌอมาวีร์ ภาณุสุวรรณโชค

เส้นทางบันเทิง ที่เกือบจะไม่บันเทิงของแพรวเฌอมาวีร์ ภาณุสุวรรณโชค

ถ้าคุณเคยตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า “ฉันกำลังทำอะไรอยู่” POSH MAGAZINE THAILAND อยากพาคุณไปแนะนำให้รู้จักกับ “แพรว –เฌอมาวีร์ ภาณุสุวรรณโชค” นางเอกสาวกับผลงานละคร สัจจะในชุมโจร (เสือสั่งฟ้า 3) ซึ่งออกอากาศทางช่อง 7HD เพราะประโยคคำถามนั้น เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน และประโยคนั้นคือจุดเริ่มต้นในการค้นหาคำตอบ ด้วยระยะเวลากว่า 10 ปีในวงการบันเทิง ที่เธอตั้งคำถามและหาคำตอบให้กับตนเองมาตลอด แต่ในวันนี้  POSH  จะขอรับหน้าที่ ตั้งคำถามกับเธอบ้าง เพราะคำตอบของเธอจะทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น

POSH : ก้าวแรกของแพรว กับเส้นทางบันเทิง เป็นก้าวที่แพรวไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เดินต่อ อะไรคือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้วันนี้แพรวยังคงเดินอยู่บนถนนสายนี้

แพรว : จุดเริ่มต้นของแพรวคือเป็นแดนเซอร์ มาแข่งรายการชิงช้าสวรรค์ค่ะ แพรวลงแข่งตั้งแต่อายุ 14 อยู่ม. 2 วันหนึ่งได้เจอพี่ช่างแต่งหน้าที่สตูดิโอ พี่เขาเป็นคอสตูมให้กับกองหนังของพี่พจน์ อานนท์ด้วย เขาก็เลยมาชวนทีมเต้นของแพรวทั้งทีมเลยไปเล่นเป็นเอ็กซ์ตร้าประกอบในหนัง แต๋วเตะดินระเบิด จำได้เลยว่าได้รับเงินมา 500 บาท วันนั้นยังไม่มีความคิดสักนิดว่าอยากจะเข้าวงการอะไร แต่การไปทำงานวันนั้นทำให้พี่พจน์จำเราได้ว่าเคยเจอเราเดินอยู่ที่สยาม พี่พจน์เลยเพิ่มบทพูดให้กับเรา 1 ประโยคในหนังนั้น จากนั้นก็ขอคอนแทคกันไว้ ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งป๋าโน้ต เชิญยิ้ม ติดต่อพี่พจน์มาว่าอยากได้นักแสดงใหม่ พี่พจน์เลยแนะนำเรา พอป๋าโน้ตได้เห็นป๋าจำได้ว่าเป็นเด็กที่เคยไปแข่งรายการชิงช้าสวรรค์ มันเป็นความบังเอิญมาก ๆ ป๋าก็เลยชวนแพรวไปเป็นนางเอกหนังเลย เรื่อง กองพันครึกครื้น ท.ทหารคึกคัก บอกตามตรงว่างงกับชีวิตมากค่ะ เริ่มมีงานเข้ามาตอนนั้นแพรวเพิ่งอยู่ม. 5 คือยังเล่นไม่เป็น แต่งตัวไม่เป็น ยังทำอะไรไม่เป็นเลย และกำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ก็คิดว่าเราจะยังไงดีนะ

แล้ววันหนึ่งพี่พจน์ก็โทรมาบอกว่า บริษัทโพลีพลัส กำลังหานักแสดงในสังกัด สนใจไปแคสไหม เราก็ไปค่ะคิดว่าลองดูแต่ก็เผื่อใจไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะไม่ได้ เพราะเรามีประสบการณ์น้อยมาก ไม่เคยเรียนแอ็คติ้งเลยด้วยซ้ำ แต่เราก็ตั้งใจเขาให้เราทำอะไรเราทำ จนเราได้รับโทรศัพท์ว่าเราได้เป็นนักแสดงในสังกัดโพลีพลัส ซึ่งถ้าย้อนถามว่าจุดเริ่มต้นและโอกาสในวงการบันเทิงของเราได้รับจากใคร ก็ต้องตอบว่า พี่พจน์ และป๋าโน้ตค่ะ ที่ให้โอกาสเด็กคนนี้ที่เวลานั้นยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ซึ่งพอเราได้เข้าสังกัด ก็ได้พี่นิด (อรรพรรณ วัชรพล) ช่วยขัดเกลาเราต่อ มีงานละครเรื่อง ชิงนาง ทางช่อง 7 ความที่เราไม่ได้มีประสบการณ์ เราเล่นแล้วเทคเกือบทุกฉาก ตอนนั้นคือเครียดกลับบ้านไปร้องไห้ทุกวัน ถามตัวเองว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่”  “ฉันกำลังทำอะไรอยู่” เราไม่เหมาะกับการเล่นละคร เราทำได้ไม่ดีพอ จนกระทั่งเรามาเจอจุดเปลี่ยนในเรื่องของความคิด ตอนที่ได้ถ่ายมิวสิควิดิโอเพลง “ภูมิแพ้กรุงเทพ” ซึ่งตอนแรกเรานอยด์มาก เอ็มวีเพลงนี้แพรวไม่แต่งหน้าเลยก็กังวลว่าจะไม่สวย แต่เราก็เล่นไปตามบทซึ่งแทบจะไม่ได้เทคใหม่เลยสักฉาก จนงานเสร็จผู้กำกับก็มานั่งคุยกับแพรวบอกเราว่า “คนเราจะสวย จะดีก็ต่อเมื่อเราได้อยู่ในที่ทางของเรา” มันคือการชมแพรวโดยที่แพรวไม่รู้เลย ซึ่งวันนี้พอมาย้อนกลับไป มันให้คำตอบกับเราได้ว่า งานในวงการมันมีหลากหลายทางมาก แต่ละงานก็มีจังหวะที่ต่างกัน ละคร ภาพยนตร์ มิวสิควิดิโอ แต่ละชิ้นงานก็แตกต่างกัน เราเริ่มเข้าใจ เริ่มเรียนรู้ คำว่าการเป็นนักแสดงที่ดี คือเราต้องพัฒนาตนเอง ต้องไม่หยุดอยู่กับที่ ยิ่งยาก ยิ่งท้าทาย ยิ่งทำให้เราอยากทำให้สำเร็จ มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรายังอยู่ตรงนี้ในวันนี้

POSH : จากท้อเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นสู้ สู้ทั้งกับงาน และสำคัญที่สุดคือสู้กับทัศนคติความคิดของตนเอง แพรวเปลี่ยนแปลงตรงนี้อย่างไร

แพรว : ลงเรียนแอ็คติ้งเลยค่ะ (ยิ้ม) เวลานั้นเราก็โตแล้วล่ะ ซึ่งคนที่มีระบบความคิดมาแล้วระดับหนึ่งแบบเรา การที่ต้องมารื้อระบบ รื้อวิธีคิด วิธีการทำงานที่ผ่านมาใหม่ทั้งหมด มันก็ยากต้องใช้เวลาค่ะ คือเหมือนเราจะเริ่มมีความมั่นใจ แต่ก็มั่นใจลดลงเมื่อเราเจองานยาก ๆ และเราทำไม่ได้ แต่เราก็สู้นะต้องทำให้ได้ ส่วนหนึ่งคือมันมีช่วงเวลาที่แพรวท้อมาก ๆ คือนอกจากเรื่องงาน แพรวมีปัญหาครอบครัว เกี่ยวกับสุขภาพของคุณพ่อ แพรวต้องตั้งใจทำงาน แพรวต้องส่งตัวเองเรียน คือมันเป็นช่วงทุกข์ระทมของชีวิตจะใช้คำนี้เลยก็ได้ แต่มีผู้มีพระคุณกับแพรวท่านหนึ่ง พูดกับแพรวว่า แพรวสมควรจะมีความสุข และที่สำคัญแพรวคือนักแสดง แฟน ๆ คนที่เขามาดูดารา มาดูเรา เขามาเพราะเขาอยากมีความสุข ถ้าตัวเรายังไม่มีความสุข แล้วจะไปมอบความสุขให้กับคนอื่นได้ยังไง การเป็นนักแสดงคือศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานอย่างหนึ่ง เราต้องถ่ายทอดความเป็นตัวเองไปในผลงานนั้น เขาถามแพรวว่า “แพรวชอบอะไรในตัวเองมากที่สุด” สิ่งที่แพรวตอบไปคือแพรวชอบความง่าย ๆ สบาย ๆ และแพรวก็จะสื่อสารตัวตนของแพรวไปให้ทุกคนได้รู้จัก แพรวเป็นตัวเองมากขึ้น มีความสุขในแบบที่ตนเองเป็น

POSH : เมื่อสร้างความสุข ด้วยการเริ่มต้นมีความสุข แพรวหาความสุขหรือชาร์จแบตให้กับตนเองในเวลาที่ท้ออย่างไร

แพรว : อ่านหนังสือ ชงกาแฟ ดูหนัง และไปทะเลค่ะ จะว่าแพรวมีโลกส่วนตัวสูงก็..ได้นะ บ่อยเลยที่แพรวจะไปเที่ยวคนเดียว ต่างประเทศก็ไปคนเดียวค่ะ เวลาที่เรารู้สึกว่าเราอยากอยู่กับตนเอง อยากให้เวลาตนเอง แพรวก็แพ็กกระเป๋าไปเลย อย่างไปเล่นเซิร์ฟ แพรวก็ขับรถไปเลยคนเดียว จริง ๆ แพรวก็เป็นคนชอบทำตามใจตัวเองคนหนึ่งนะ อาจจะเป็นข้อดีของคนโสดด้วย (หัวเราะ) ที่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ทันทีถ้าไม่กระทบกับงาน เพราะการที่งานของเราต้องเข้าสังคม อยู่กับผู้คนมากมาย มันมีเหมือนกันที่เรารู้สึกว่าเราเหนื่อย เราหมดแรง พอเราได้ทำอะไรช้า ๆ เรื่อย ๆ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำแบบเงียบ ๆ คนเดียว มันก็ทำให้เราได้เติมเต็มความสุข และมีพลังกลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง

POSH : ถ้ามองว่าแพรวเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ในทุกด้านจะได้ไหม

แพรว : ถ้าตีความคำว่าผู้หญิงยุคใหม่ คือผู้หญิงที่รู้จักความต้องการของตัวเอง และพร้อมจะพาตัวเองไปทำตามความต้องการนั้น อย่างแน่วแน่ มั่นคง โดยไม่ก่อปัญหากับคนอื่น ๆ แพรวก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะยุคนี้แพรวมองว่าผู้หญิงทุกคนมีความสามารถ กล้าที่จะเรียนรู้ทดลองอะไรใหม่ ๆ เราทำงาน เราดูแลครอบครัวของเราไปในเวลาเดียวกันได้

POSH : การได้อยู่กับตนเอง ทำตามหัวใจตนเอง สร้างความสุขด้วยตนเอง จะทำให้เราลืมว่าหัวใจของเรายังมีที่ว่างสำหรับคนที่อยากมายืนข้าง ๆ เราหรือเปล่า

แพรว : แพรวเชื่อนะคะว่าคนที่ใช่ จะเข้ามาในเวลาที่ใช่เช่นกัน เชื่อในพรหมลิขิต อาจจะเพราะแพรวชอบอ่านหนังสือ อ่านบทความ บทวิจารณ์ หลายครั้งเราได้เห็นความรักที่เขาดูรักกันมาก แต่สุดท้ายก็แยกกันไป อาจจะเพราะสาเหตุอะไรก็ได้ คือทุกอย่างก็มีระยะเวลาของมัน ความรักก็เช่นกันค่ะ ถ้าคนที่เดินเข้ามาเขาจะใช่ มันก็จะมีสัญชาตญาณที่บอกกับเรา เหมือนเราไป ชอปปิ้งแล้วเราเห็นของชิ้นหนึ่ง แล้วเรามีความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า เราต้องพาเขากลับบ้านไปกับเรา เขาเรียกชื่อเราอยู่ (หัวเราะ) สัญชาตญาณจะบอกเราเองเมื่อถึงเวลานั้นค่ะ

จากการตั้งคำถาม และหาคำตอบ วันนี้ แพรว เฌอมาวีร์ ค้นพบคำตอบที่พอเหมาะ พอดีกับชีวิตของเธอแล้ว นั่นคือทำความรู้จักตนเอง จากการเรียนรู้ความต้องการของตนเอง และกล้าเริ่มต้นทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราทุกคนสามารถตั้งคำถามกับตนเองได้ทุกวัน แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือเรากล้าที่จะค้นหาคำตอบจากคำถามที่เราตั้งไว้หรือไม่ ? !! 


Photographer: Narin Yun Lourujirakul @yun8narin

Clothes: @ohpolly  @tandtbangkok @papillon.official24 

Make up:  @sheaiimakeup 

Hair: @kant_ksp

Creative Director: Termsit Siriphanich @termsit

Editor in Chief: Austin Thein