Special Interview – Bell Supol

‘เท่าไหร่ก็ไม่พอ’ ดูเพลงแล้วย้อนดูตัวเองจากสายตา ‘เบล-สุพล พัวศิริรักษ์’ @bell_supol

ขอเล่นสำบัดสำนวนกับชื่อหัวข้อสักหน่อย เพราะผู้ชายเสียงนุ่มคนนี้ที่เราคุยด้วยใช้เวลาอยู่เกือบ 1 ปีเต็มกว่าจะได้เพลงที่ตัวเองพึงใจอย่าง ‘เท่าไหร่ก็ไม่พอ’ ที่เขาได้ร่วมงานกับคนคุ้นเคยหลายคนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้ทำดนตรีร่วมกับ โอม Cocktail มิวสิควิดีโอที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ “บอส-นฤเบศ กูโน” และคู่จิ้นเลื่องชื่อ “พีพี-บิวกิ้น” อีกครั้ง

งานนี้เราเลยคุยกับ ‘เบล-สุพล’ ถึงเพลงนี้ด้วยชุดคำถามคล้ายกับชื่อเพลงที่เขารังสรรค์ พร้อมด้วยเรื่องนานาจิตตังอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเบล เพราะ POSH MAGAZINE THAILAND อยากรู้ไปถึงตัวตนลึกๆ ของผู้ชายคนนี้แบบที่เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ เริ่มจาก…

ความสุขที่ได้รับในเพลงนี้ที่เล่าเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ความสุขแรกจากเพลงนี้คือ การค่อยๆ ทำเพลงและประณีตกับมันในทุกขั้นตอน ผมใช้คำว่า “ได้ดั่งใจ” ผมมากๆ ถึงแม้จะมีการแก้หลายรอบ แต่การแก้นำมาซึ่งการถ่ายทอดที่ตรงกับความรู้สึกผมมากที่สุด ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ผมกลับมาย้อนฟังแล้วไม่มีอะไรติดใจ นั่นถือเป็นความสุขขั้นแรของผม กับความสุขที่สอง คือการได้ควบคุมการบันทึกเสียงจากเครื่องดนตรีทุกชิ้นให้ได้อย่างใจที่ตัวเองต้องการจริงๆ ซึ่งเป็นการอัดเครื่องสายสดทั้งหมด 12 ชิ้น โดยผมไม่เคยอัดเครื่องสายเยอะชิ้นขนาดนี้มาก่อนเลย

ทักษะในงานเบื้องหลังที่เบลรู้สึกว่า เรียนรู้เท่าไหร่ก็ไม่พอ

ผมรู้สึกว่า ทุกๆ ครั้งที่ทำงาน ไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง มันจะมีอะไรใหม่ๆ ให้ผมได้เรียนรู้และตื่นเต้นเสมอ รวมถึงการทำสิ่งเดิมแบบซ้ำๆ บ่อยๆ ผมมองว่า ไม่ใช่ความจำเจ แต่เราอาจได้เห็นแง่มุมบางอย่างที่อาจต่างจากเมื่อวานหรือก่อนหน้าก็ได้ บางทีหลายคนชอบถามว่า ชอบเพลงไหนที่สุด เอาจริงๆ ผมตอบไม่ได้นะ ทุกอย่างมันยังไปได้อีก พัฒนาและยกระดับการทำงานของเราให้มากขึ้นไปอีกได้ ซึ่งทักษะไม่มีบ่งชี้ชัด แต่คงเป็นทักษะทุกอย่างรวมๆ กันที่เรียนรู้เท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆ

3

16 ปีในการร้องเพลง คิดว่าอะไรในการร้องเพลงที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่พอ

เรื่องร้องเพลงคงอยากพัฒนาต่อแหละ เหมือนไม่ได้ร้องเพลงนานๆ ก็ต้องกลับมาเคาะสนิมกันบ้าง อย่างช่วงโควิด-19 ผมทำงานเบื้องหลังหนักหน่วงมาก การร้องเพลงแทบจะไม่ได้แตะเลย การกลับมาทำเพลงครั้งนี้เลยเหมือนทวงคืนความสุขกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ส่งหมวกใบนี้มานาน เพราะมัวแต่ง่วนเบื้องหลัง แต่ถ้าถามว่า อยากเติมอะไร คงอยากเติมการรักษาสุขภาพเสียงของตัวเองให้เส้นเสียงพร้อมที่จะร้องได้อยู่ตลอดเวลา ผมมองว่าตรงนี้สำคัญ เพราะไม่อยากให้เสียงไปก่อนเวลาอันควร เพราะนักร้องมันก็เหมือนนักกีฬาแหละที่ต้องวอร์ม ฝึกซ้อม และรักษาพลังของตัวเองให้สม่ำเสมอ

ความสัมพันธ์รูปแบบไหนที่เบลคิดว่า รักเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่

ตอนเด็กๆ ผมมีความรู้สึกว่า แค่รักกันก็เพียงพอแล้ว เพราะความรักมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สุดท้ายพอโตมาเรากลับรู้อีกด้านของความรักว่า ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เรื่องรักอย่างเดียว บางครั้งเราจากลากับใครสักคน หรือเราไปต่อกับใครคนหนึ่งไม่ได้ นั่นเป็นเพราะมันมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายอย่างที่จะทำให้ความรักมันยังดำเนินต่อไปได้ ไม่ใช่แค่รักแล้วจบ อย่างผมเคยมีโมเมนต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่นอกจากรักแล้ว มีหลายปัจจัยที่ประเดประดังในความรักครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต จนไม่รู้จะเลือกซ้ายหรือขวาดี เพราะซ้ายก็เจ็บ ขวาก็ปวด สุดท้ายผมก็ต้องเลือกสักทาง สรุปคือ ผมเลือกเดินออกมา (หัวเราะ) 

2

เหตุการณ์ชีวิตไหนที่เบลรู้สึกว่า ตัวเองพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พอ

เรื่องของการทำงานทั้งหมด ผมรู้สึกว่า ทุกครั้งที่ทำอะไรลงไป จะมีคำถามกลับมาเสมอว่า มันดีพอแล้วหรือยัง ทำได้ดีกว่านี้อีกไหม มันยังคงเป็นความรู้สึกแบบนี้เสมอไป พยายามไม่ตั้งคำถาม แต่ก็อดไม่ได้ เพราะเรามีส่วนร่วมอยู่ในทุกความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกครั้งที่ได้ทำ ผมทำอย่างเต็มที่ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทำลงไปแล้ว ก็จะยังมีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่า มันดีหรือพอแล้วหรือยัง สิ่งหนึ่งที่หาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้คือ พยายามอ่อนโยนกับตัวเองบ้าง หัดผ่อนคลายและยอมรับถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดอะไรก็ตาม แต่เราก็เรียนรู้ไว้เพื่อไประวังในครั้งหน้าว่า จะไม่ทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก

5

เพลงที่เบลอินมาก จนฟังเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ (ขอไม่ใช่เพลงตัวเอง)

ในช่วงเวลานี้ ผมชอบวง HYBS ของ Alyn Wee และ Karn Kasidej ซึ่งเป็นวงและศิลปินใหม่เบอร์ล่าสุดที่ผมฟังเพลงของเขาแทบจะทุกเพลงแบบวนไปวนมา โดยเริ่มรู้จักเขาจากเพลง Dancing with my phone ผมรู้สึกว่า เขาทำเพลงได้น่าสนใจ ด้วยซาวด์ป็อบที่ดูร่วมสมัย บรรยากาศเพลงที่ฟังแล้วชิลล์ ทำให้เราเพลินไปกับเพลงและเมโลดี้เพราะๆ ของพวกเขา รู้สึกว่าสองคนนี้เก่งมากๆ และติดตามเป็นแฟนคลับอยู่ตอนนี้

ดูหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ ก็รู้สึกว่ายังไม่พอ ต้องดูอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หนังที่ผมดูซ้ำได้เรื่อยๆ หนึ่ง ภาพรวมต้องเป็นหนังที่ดูแล้วสบายใจ อาจไม่ต้องตลกหรือโบ๊ะบ๊ะ แต่ภาพรวมเปิดมาแล้ว มีมวลบรรยากาศความสุข อาจไม่ต้องเป็นเรื่องแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่แฮปปี้ที่ได้เห็นบรรยากาศนั้น และสองคือ ต้องมีความสวยงามที่มองได้เรื่อยๆ ถ้าให้ยกตัวอย่างเลยก็คือ Call Me by Your Name ด้วยบรรยากาศเมืองชายทะเลที่ดูและมองได้เรื่อยๆ และชอบที่มันผ่อนคลายมากตอนที่ได้ดู

4

ประเมินการทำงานและการร้องตัวเองในเพลงนี้ว่า ให้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะพอ

ผมให้ 9 คะแนนนะรอบนี้ เพราะผมพอใจกับมันมากๆ แต่ไม่ได้บอกว่า สิ่งที่ทำมันดีงามในระดับ 9 นะ (หัวเราะ) แต่มันคือความพอใจในระดับ 9 ของผม ส่วนอีก 1 ก็เว้นไว้อย่างนั้น เพื่อให้มันแสดงผลออกมาเอง แต่ยอมรับว่า ผมพอใจกับงานชิ้นนี้มากจริงๆ (ยิ้ม)


Photographer : Termsit Siriphanich @termsit @termsitstudio

Stylist : Pattarat Ardwong @ammpattarat

Clothes : @Ferragamo  @Zegnaofficial

Interview: Yutthachai Sawangsamutchai @Youthtumz