“จูเนียร์–เฟรนด์” เล่าความรู้สึก (เท่าที่เล่าได้) ในภาคต่อสุดมัน “ธี่หยด 2”
กลับมาภาคนี้ มีแต่มันกับมันส์ เพราะนักแสดง “จูเนียร์–กาจบัณฑิต ใจดี” และ “เฟรนด์–พีระกฤตย์ พชรบุณยเกียรติ” สานต่อความสนุกปลุกความเฮี้ยนขึ้นมาต่อกรกับ “เสียงครวญแห่งความตาย” กับภาพยนตร์ “ธี่หยด 2” ที่ POSH MAGAZINE THAILAND เองก็รู้ว่า จรรยาบรรณของหนุ่มทั้งสองคงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เรารู้ไม่ได้ เพราะการไม่รู้อะไรเลย ย่อมดีที่สุดต่อความรู้สึกในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้
แต่ในฐานะที่เราต้องสัมภาษณ์พวกเขาทั้งคู่ เราเลยมีกิมมิคเกี่ยวกับ “ความเป็นภาคต่อ” ของ “ธี่หยด 2” ให้พวกเขาได้ตอบ เพื่อเรียกน้ำย่อยให้คุณผู้ชมได้ลุ้นไปกับตัวละคร และเบื้องหลังการทำงาน “เท่าที่เล่าได้” ให้พวกเราได้รู้ถึงอุตสาหะที่พวกเขาได้ลงมือไป และ TMI ทิ้งท้ายก่อนที่ “ยศ” และ “ยอด” จะออกมาท้าทายสายตาผู้ชมในรูปแบบที่สะใจยิ่งกว่าเดิม
อาถรรพ์ “ภาคต่อ”
จูเนียร์: จั่วหัวแบบตีเข้าบ้านมากเลย (หัวเราะ) ส่วนตัวภาพยนตร์ภาคต่อหลายต่อหลายเรื่อง มีสิ่งที่เรียกว่า “ความคาดหวัง” เจือปนอยู่ เพราะอย่าลืมว่า “ธี่หยด” ภาคแรกทำไว้ดีมากและสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผู้ชมหลายอย่าง พอมาถึงภาคต่อ ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดง ยอมรับได้เลยถึงความกังวล เพราะเราไม่รู้ผลลัพธ์หรือคาดเดาไม่ได้ว่า ผู้ชมจะชอบหรือไม่ แต่สิ่งที่การันตีได้เลยคือ ภาคนี้ผมเต็มร้อยกับมันมากๆ ไม่ว่าจะความเดือดที่เข้มข้นกว่า ความมุทะลุที่มากกว่า ผมได้แต่อ่านบทไปแล้วพูดกับตัวเองว่า “เฮ้ย โอ้โห เอาแบบนี้เลยเหรอ”
เฟรนด์: เสริมจากพี่จูครับ ภาคแรกผมมองว่ามันไร้ความกดดัน เพราะเราชิลล์สนุกและเต็มที่ในแบบของเรา แต่กับภาคต่อนี้มันมีเรื่องให้ต้องมองเยอะขึ้น ความสมเหตุสมผลเหตุการณ์ที่สืบเนื่องมาจากภาคที่แล้ว ความน่ากลัวที่ต้องคงไว้และความแปลกใหม่ที่หลายคนอาจตามหาความต่างจากภาคก่อน ซึ่งพอผมทำงานไปเรื่อยๆทุกคนก็เต็มที่กับมันมากๆ จนออกมาสมบูรณ์แบบในความรู้สึกทุกคนสิ่งที่ทำออกมาเลยเหมือนเสริมความมั่นใจมากขึ้น ในฐานะคนทำงานผมและพี่จูเลยมองว่าไม่กลัว แต่ถ้าให้มองในฐานะผู้ชมผมคิดว่าขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลย
“ภาคต่อ” กับพัฒนาการตัวละคร
เฟรนด์: ผมมองว่า “ยอด” โตขึ้นจากสถานการณ์ที่เจอมาและผลลัพธ์ที่ออกมาจากภาคที่แล้ว สิ่งที่คงไว้อาจจะยังเป็นความสนุกสนานที่ยังมีความปากเปราะเหมือนเดิม พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดคล้ายเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือ ความขี้กลัวที่มันติดมาจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว ซึ่งผมปรึกษากับกองบ่อยมากว่า ความสนุกสนานมันจะท่าเดิมไหม พี่ๆ เขาก็ให้คำแนะนำมาว่า อาจต้องเพลาๆ ลงมาบ้าง ติดขี้กลัวนิดๆ แต่ในใจลึกๆ ของยอดก็คิดว่า ถ้ากลัวแล้วไม่สู้หรือทำอะไรเลย อาจเป็นที่พึ่งให้กับน้องๆ ไม่ได้ มันเลยกลายเป็นคาแร็คเตอร์ “คนตลกที่ขี้กลัว แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อน้องๆ ทุกคน”
จูเนียร์: สำหรับผม “ยศ” ในภาคก่อนคืนดีกับ “พี่ยักษ์” (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจคือ ความกลัวและความหวาดระแวงว่า ผีตัวนั้นมันจะกลับมาหาเราหรือครอบครัวเราอีกหรือเปล่า ผมเลยทำการบ้านปูมหลัง 3 ปีที่หายไปของ “ยศ” ว่า ความรู้สึกของตัวละครตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง ปีแรกระแวงไปหมด ปีที่สองปล่อยวางและแข็งแกร่งขึ้น และปีที่สาม “ยศ” มันเลยเหมือนทรานส์ฟอร์มว่า “โอเค ก็มาดิ” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยศกลายเป็นคนตั้งรับกับเหตุการณ์หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ คือ มีงานแต่งที่ไหนพกปืน เพราะด้วยความไม่รู้ว่า เราจะเจอกับอะไร ตัวละครมันเลยถูกคิดไปในแนวทางนี้
ทำงานกับผู้กำกับใน “ภาคต่อ”
จูเนียร์: พี่คุ้ย (ทวีวัฒน์ วันทา) เก่งมาก ให้อิสระกับตัวละครที่เราแสดงสุดๆ ถ้ามันอยู่ในกรอบของตัวละครนั้นจริงๆ พี่เขาจะปล่อยให้เราอิสระเต็มที่เลย ซึ่งผมขายแนวทางของยศไปเยอะมาก บางอย่างซื้อบ้าง บางอย่างไม่ซื้อบ้าง (หัวเราะ) แต่พี่เขาเป็นนักฟังและเปิดรับทุกความคิดที่นักแสดงส่งออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้มาคือ พี่เขาเครียดนะ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่ผลที่ได้รับกลับมาคือ พี่เขาไม่โยนความเครียดกลับมาที่เราเลย แถมยังเล่นมุกติดตลกอีกเพียบ เรียกได้ว่า เป็นคนหนึ่งที่จัดการกับอารมณ์และความรู้สึกเก่งมากๆ
เฟรนด์: ต่อจากพี่จูคือ พี่คุ้ยเป็นคนสนุกนะ ในกองพี่เขาบรีฟการทำงานสนุกและใจดี ทำให้เราเข้าใจความต้องการของพี่เขาได้อย่างแท้จริงว่า เขาต้องการอะไร อยากให้เดินหรือเคลื่อนไหวแบบไหน เลยทำให้คาแร็คเตอร์ที่ผมแสดงออกมาไป ผมใช้คำว่า “มันได้ดั่งใจ” เพราะพี่เขามีภาพและแนวทางในความคิดที่ชัดเจนมากๆ รู้ว่าฉากนี้เอาแค่นี้พอ ฉากนี้ต้องใส่อารมณ์เข้าไปประมาณนี้ เลยไม่น่าเชื่อว่า ถ่ายทำกันเร็วมาก เรียบร้อยและราบรื่นแบบสุดๆ มันเลยกลายเป็นบรรยากาศที่สนุกเหมือนเดิม ไม่ต่างจากภาคที่แล้วที่เราแสดงมาเลย
เดินทางมาถึง “ภาคต่อ” และความหมายของชีวิตที่ได้รับ
เฟรนด์: ผมเคยเขียนไว้ในอินสตราแกรมด้วยถึงภาคที่แล้ว โดยผมเปรียบกับภาคที่แล้วเหมือนการเดินทางบนรถไฟเหาะที่มีความขึ้นและลงตลอดเวลา เพราะยอมรับว่า ตัวเองไม่ได้คิดจะมาเป็นนักแสดง แต่เมื่อประตูแห่งโอกาสมันเปิดแล้ว มันทำให้ชีวิตของผมเต็มไปด้วยสีสันและความท้าทาย ทำให้ “ธี่หยด 2” กลายเป็นประตูแห่งโอกาสอีกบานที่สำคัญไม่แพ้กัน ตรงที่เราจะรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้ได้หรือไม่ และสร้างความแปลกใหม่จากภาคที่แล้วให้กับผู้ชมได้เห็นหรือเปล่า ถ้าทำได้ ผมมองว่า นี่คือ “เช็คลิสต์ความเป็นนักแสดง” ที่จะช่วยให้ผมเข้าใกล้คำว่า “มืออาชีพ” ได้อีกขั้นหนึ่งเลย
จูเนียร์: ผมรู้สึกว่า มันเปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะเหมือนกันนะ แม้มันอาจวัดผลไม่ได้ว่า ภาคแรกจนมาถึงภาคสอง ผมอาจมีเนื้องานที่น่าสนใจเข้ามาผมมากขึ้น ทั้งแนวที่เล่นหรือความหลากหลาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมรู้สึกว่า ประสบการณ์ทางการแสงที่ผมได้กับ “ธี่หยด 2” มีมากขึ้นและเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่นอน ผมสัมผัสได้เลยจากการถ่ายภาพยนตร์ เพราะผมมองว่า มุมกล้องภาพยนตร์ยากกว่ามุมกล้องละคร ด้วยความเป็นกล้องเดียว แต่พอไปถ่ายละคร มันมี 3-4 กล้องด้วยกัน แม้วิธีการแสดงอาจไม่แตกต่างกันมาก แต่ความอิสระและความเกร็ง ภาพยนตร์อาจมีน้อยกว่านิดนึง ตรงที่ไม่ต้องโฟกัสเรื่องบล็อกกิ้งมาก แต่ให้อินเนอร์ของตัวละครมันพาเราไปตามจุดต่างๆ ซึ่งผมมองว่า ผมได้อิสระจากการแสดงเยอะขึ้นมากเลย
ไม่อยากให้เป็นเพียงแค่คำบอกเล่า แต่เราอยากให้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ทางการแสดงของพวกเขาจริงๆ ทั้ง “จูเนียร์–เฟรนด์” POSH MAGAZINE ขอเป็นกำลังใจให้กับการแสดงของพวกเขาใน “ธี่หยด 2” ซึ่งจะลงจอให้คุณได้สัมผัสความเดือดแล้ว 10 ตุลาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
TMIs with Junior & Friend
ตัวละครใดใน “ธี่หยด” ที่คุณอยากรู้ชีวิต “ภาคต่อ” ของเขา
จูเนียร์: ใจผมอยากรู้ตัวละคร “แย้ม” เพราะเขาตายไปแล้ว แต่ผมยังอยากรู้ต่อว่า มันจะยังไงต่อ เขาจะยังคงวนเวียนอยู่บนโลกใบนี้เป็นผีหรือวิญญาณอยู่ไหม หรือว่าเขาไปเกิดใหม่แบบไม่มีห่วงใดๆ แล้ว ซึ่งก็น่าสนใจดีเหมือนกัน
เฟรนด์: ส่วนตัวผมอยากรู้ตัวละคร “ยี่” เพราะด้วยความเป็นเด็กมันมีทิศทางให้ตัวละครไปได้หลายทางมากและอยากรู้ว่าเด็กที่เจอกับเหตุการณ์ร้ายๆแบบนี้เขาเข้มแข็งและก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรผมว่าน่าสนใจนะรวมถึงตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่เขาจะเป็นผู้ใหญ่แบบไหนให้เราได้เห็นกันอันนี้คือสิ่งที่ผมอยากรู้มากๆเลย
Photography : Chayut Sunthornsiri @chyt.s
Interview: Yutthachai Sawnagsamutchai @Youthtumz