POSH Magazine Thailand พาคุณมาทำความรู้จักกับ 2 นักแสดงหนุ่ม “โบ๊ท ยงค์ยุทธ (@yong_yutt) ” รับบท “เฮียศร” และ “โอ๊ต ภาสกร (@oatpasakorn) ” รับบท “จวิ้น” จาก “ไหนเฮียบอกไม่ชอบเด็ก (My Stubborn, 心口不一)” ซีรีส์เรื่องล่าสุดจากค่าย MFlow Entertainment (@m.flowentertainment)
อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจรับเล่นซีรีส์เรื่อง ‘ไหนเฮียบอกไม่ชอบเด็ก’
โบ๊ท : มันเริ่มจากสองคำง่ายๆ ครับ “โอกาส” กับ “คุณค่า” ผมว่าทุกคนน่าจะเข้าใจฟีลนี้ดี โดยเฉพาะคนที่ทำงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน คือเราทุกคนต่างพยายามหาพื้นที่ให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ก็อยากมีโอกาสได้ลอง ได้แสดงความสามารถของตัวเองบ้าง วันหนึ่งมีผู้ใหญ่ติดต่อมาว่าอยากให้ผมลองไปแคสซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งตอนแรกผมก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก รู้แค่ว่าเฮียบอกไม่ชอบเด็ก 555 แล้วตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะเลยนะครับ แวบแรกที่ขึ้นมาในหัวคือ “เออ โอกาสมาแล้ว ลองไปดูหน่อย” เพราะผมเชื่อว่าทุกการแคสติ้งมันคือโอกาสที่เราได้เจอคนใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แล้วก็อาจจะได้เริ่มต้นอะไรบางอย่างที่ดี จะบอกว่าไม่มีความคาดหวังก็คงไม่จริง ผมก็แอบหวังอยู่เหมือนกันครับ ว่าผู้ใหญ่จะมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา ถึงแม้ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าเราจะตรงกับคาแรกเตอร์ในเรื่องไหม แต่สุดท้ายผู้ใหญ่เขาก็เลือกผม เขาเห็นคุณค่าที่เรามี แล้วให้โอกาสเราได้แสดงออกมา สำหรับผม สองคำนี้มันเลยมีความหมายมากๆ ครับ เพราะมันคือเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจรับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ทันทีแบบไม่ต้องคิดเยอะเลย
โอ๊ต : สำหรับผม ไม่ซับซ้อนอะไรเลย อย่างแรกเลย ผมไม่รู้ว่าจะได้เล่นเป็นตัวเอกของเรื่อง ตอนแรกแค่มีคนมาชวนไปแคสก็ลองไปดู เพราะไม่ได้รับงานแสดงมานานแล้ว ทางผู้จัดติดต่อกลับมาบอกว่าสนใจนะอยากให้เล่นบทจวิ้นซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง ผมก็ค่อนข้างตกใจแต่ก็รู้สึกว่าต้องพยายามทำให้ดี เพราะนิยายเรื่องนี้มีคนอ่านเยอะด้วย
คาแรกเตอร์ของแต่ละคนในเรื่องมีความคล้ายหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง?
โบ๊ท : จริงๆ พอผมได้มาอ่านนิยาย ก็รู้เลยครับว่า ผมกับ “ศร” ต่างกันเยอะมากกก อย่างแรกเลยคือเรื่องลุค ศรเป็นคนใต้ ผิวเข้ม ตัวใหญ่ ดูเข้มๆ คูลๆ ในขณะที่ผมนี่ ตาตี่นิดๆ หุ่นก็ไม่ได้แน่นอะไรขนาดนั้น 555 เพราะตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าฟิตเนสมานานเกือบปีแล้ว หุ่นเลยไม่ได้ตามภาพที่จินตนาการไว้ในนิยายเลยครับ แต่ก่อนเริ่มถ่ายประมาณสองเดือน ผมก็ตัดสินใจจริงจังกับการบิ้วร่างกายเลยครับ จากน้ำหนักประมาณ 68 กิโล ก็ปั้นขึ้นมาจนได้ 78 กิโล เพื่อให้ดูตัวใหญ่ขึ้น ใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ส่วนเรื่องคาแรกเตอร์ภายในของศร เอาตรงๆ เลยนะครับ ด้วยความที่เขาเป็นตัวละครในนิยาย ก็จะมีบางมุมที่ผมรู้สึกว่า “เฮ้ย แบบนี้มีจริงเหรอวะ?” คือมีช่วงนึงของเรื่องที่ศรเขาดูจะโมโหเกือบตลอดเวลา อยู่ในโหมดพร้อมปะทะตลอดอะ จนผมเองยังแอบคิดในใจว่า…คนเราจะเครียดอะไรขนาดนั้นทั้งวันเลยเหรอ!
โอ๊ต : ระหว่างตัวผมกับจวิ้น จริงๆ ก็คล้ายกันตรงเป็นคนง่ายๆ เข้ากับคนอื่นได้ง่ายด้วย จริงใจ แล้วก็ออกจะห้าวๆ ลุยๆ หน่อย รักเพื่อน ที่จริงก็ค่อนข้างเล่นง่ายนะ แต่จะมีกังวลตรงบางจุดนิดหน่อย แต่ก็ได้โบ๊ทคอยช่วยอธิบายให้เข้าใจเพราะเขาทำการการบ้านกับบทมานานกว่าผมมาก เหมือนโบ๊ทจะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มาเกือบปี ในตอนแรกเขาก็เลยเข้าใจในตัวของบทและตัวของจวิ้นมากกว่าผม
ฉากไหนในเรื่องที่รู้สึกประทับใจที่สุดหรือถ่ายยากที่สุด?
โบ๊ท : เป็นฉากที่ ศรกับจวิ้น นั่งคุยกันที่ชิงช้าครับ แต่ขอไม่บอกนะครับว่าเป็นช่วงไหนของซีรีส์ ไม่งั้นมันจะสปอยล์มากๆ ความประทับใจของผมคือมันเป็นซีนที่ทำให้เราได้รู้จัก ศร หรือรู้เหตุผลว่าตัวละคร ตัวละครหนึ่งจะชอบหรือจะเกลียดอะไรมันมีที่มาที่ไปยังไงเราได้เห็นมุมอ่อนไหวของตัวละครได้เห็นความอ่อนแอบางบางที่ซ่อนอยู่ ภายใต้ความเกรี้ยวกราดของตัวละคร และแน่นอนว่าซีนนี้ยากเพราะบทยาวมากครับ แต่จริงๆ มันมีที่ยากกว่านี้นะแต่ผมขอยังไม่บอกดีกว่าซีนนั้นโคตรยากแล้วก็โคตรเหนื่อยเลยอยากให้ไปดูในซีรีส์นะครับ
โอ๊ต : ถ้าเป็นเรื่องนี้ก็ต้องบอกเลยว่าเป็น NC ครับ ทั้งยากแล้วก็ประทับใจ เอาเรื่องของความยากก่อน อย่างแรกคือเรื่องนี้ NC ค่อนข้างเยอะแล้วแต่ละซีนก็อาจจะมีท่าที่ค่อนข้างจะอีโรติกมากหน่อย ก็จะยากในเรื่องของท่าทางกับการเล่นครับ ส่วนเรื่องของความประทับใจก็คือได้โบ๊ทมาเป็นพาร์ทเนอร์ในเรื่องนี้ เขาค่อนข้างช่วยผมได้เยอะในเรื่องนี้ แรกๆ ก็มีเขินกันบ้าง แต่หลังๆ คือสบายมาก
เคมีระหว่างกันบนจอเกิดขึ้นได้ยังไง มีวิธีการเตรียมตัวยังไงบ้าง?
โบ๊ท : ผมไม่แน่ใจว่าคำว่าเคมีสำหรับหลาย ๆ คนนิยามว่ายังไง แต่สำหรับผมเคมีมันคือความเชื่อใจซึ่งกันและกันครับ ซึ่งแน่นอนว่าผมกับโอ๊ตเรามารู้จักกันเพราะซีรีส์เรื่องนี้เพราะฉะนั้นมันคงเป็นเรื่องยากมากเลยใช่ไหมครับที่คนที่เพิ่งรู้จักกันจะไว้ใจกันได้มากเพียงพอจนเกิดเป็นภาพอย่างที่ทุกคนเห็น แน่นอนคำว่าความเชื่อใจเนี่ยมันเกิดจากการที่ กำแพงระหว่างผมกับโอ๊ตถูกทำลายลงตั้งแต่เจอกันครั้งแรก โอ๊ตบอกกับผมว่า ไม่ต้องเรียกพี่นะว่าใช้คำว่ากูมึงได้เลย สำหรับผมสรรพนาม ในการใช้เรียกนำหน้าชื่อมันสามารถสร้างแล้วก็ทำลายกำแพงบางอย่างได้ หลังจากวันนั้นผมกับโอ๊ตก็สนิทกันมากขึ้นครับ ทุกซีนที่เราต้องไกล้กันมากๆ แบบมากๆ 555 เราจะคุยเพื่อเห็นภาพตรงกันก่อนเสมอครับ ส่วนเรื่องความอายหรือเขินกันผมว่ามันหายไปสักพักแล้ว 555
โอ๊ต : อันนี้ผมก็ไม่รู้นะ ที่จริงไลฟ์สไตล์ของผมกับโบ๊ทค่อนข้างจะแตกต่างกัน ผมเป็นคนชอบเล่นกีฬา ชอบอยู่บ้าน หรือแต่งตัวสบายๆ ออกไปข้างนอก แต่กับโบ๊ทคือเขาจะค่อนข้างแฟชั่น มีสไตล์เท่ๆ แต่พอเรามาเจอกัน กลายเป็นว่ามันมีจุดนึงที่ผมรู้สึกโอเคกับเขา แบบเราเป็นคนง่ายๆ เหมือนกัน มีหลายเรื่องที่พูดคุยกันได้ หลังๆ มาก็อยู่ด้วยกันบ่อยๆ อาจจะชินกับเขามั้ง
เบื้องหลังการถ่ายทำมีโมเมนต์ไหนที่น่ารักหรือฮาที่อยากเล่าให้แฟนๆ ฟังไหม?
โบ๊ท : ถ้าเป็นของผมกับโอ๊ตนะครับ จะมีช่วงหนึ่งที่ผมป่วยตอนถ่ายทำ แล้วเสียงหายไปเลย แต่ก็ยังต้องมาถ่ายตามคิว ซึ่งตอนนั้นผมเองก็เป็นคนที่ชอบถามโอ๊ตตลอดเวลาเห็นเขาดูเหนื่อยๆ ซึมๆ ว่า “มึงไหวปะ เหนื่อยมั้ย?” เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีแผนหรอกว่าจะช่วยยังไงถ้าเขาบอกว่าไม่ไหว แค่เป็นห่วงแล้วก็อยากให้รู้ว่ายังมีคนคอยดูอยู่จนวันที่ผมเองป่วยแล้วเสียงหาย โอ๊ตก็มาพูดกับผมแบบขำๆ ว่า “มึงชอบถามกูว่าไหวมั้ย เหนื่อยมั้ย…สุดท้ายมึงก็เหนื่อยเหมือนกูนั่นแหละ” ฟังแล้วก็ขำอะครับ แต่ก็รู้สึกดีนะ มันเป็นความห่วงใยแบบเพื่อนจริงๆ ที่ต่างคนต่างก็ไม่ได้พูดเยอะ
โอ๊ต : ที่จริงเป็นโมเมนท์หลังการถ่ายมากกว่า ปกติแล้วโบ๊ทจะชอบมาถามผมว่าเหนื่อยมั้ย มึงไหวมั้ย จริงๆ แล้วบางครั้งผมก็เหนื่อยอยู่นะ แต่โบ๊ทมันก็เหนื่อยเหมือนกันเพราะเราทำงานด้วยกัน แต่มันชอบที่จะมาถามผมแบบนี้ ตอนแรกผมไม่เข้าใจครับว่ามันถามผมทำไมทั้งๆ ที่มันก็เหนื่อยเหมือนกัน ทุกคนเหนื่อยเหมือนกันหมด ไม่ต้องถามหรอก จนสุดท้ายถึงมาเข้าใจว่าที่ถามเพราะมันอยากให้กำลังใจผมนะ ในส่วนที่ฮาคือวันเลี้ยงปิดกล้องครับ ทุกคนเหมือนปลดปล่อยกันหมด เต้นกันแบบปล่อยตัวหมดเลย ตลกมาก
เรียนรู้อะไรจากการร่วมงานในโปรเจกต์นี้บ้าง?
โบ๊ท : ได้รู้เลยครับว่าการเป็นตัวหลักมันเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยแบบ เหนื่อยจริง ไม่ใช่เล่นๆ (หัวเราะ) แต่ผมว่าความเหนื่อยนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่างานนี้มันมีความหมายกับตัวเองมากๆ เพราะเราทุ่มเทให้มันสุดตัว แล้วก็ได้เห็นว่าตัวเองเติบโตขึ้นยังไงบ้างระหว่างทาง ที่สำคัญคือโปรเจกต์นี้พาผมมาเจอกับคนดีๆ เยอะมาก ทั้งทีมงาน นักแสดง ทุกคนคือเต็มที่และน่ารักมาก ผมรู้สึกโชคดีนะครับที่ได้ร่วมงานกับทุกคน มันไม่ใช่แค่เรื่องของการได้ผลงานออกมา แต่มันคือการได้เจอคนดีๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย การทำงานมันมีความสุขแบบนี้ได้จริงๆ นะ
โอ๊ต : ครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสในการทำงานกับซีรีส์วายแบบเต็มตัวของผม ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้เยอะเลยครับ และยังเป็นครั้งแรกที่ผมรับบทเป็นนักแสดงหลักด้วย ซึ่งผมตั้งใจกับมันมากๆ ทั้งทำความเข้าใจกับตัวละคร ทำการบ้านกับบท เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แล้วก็ยังได้เพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ มาอีกด้วย
แฟนๆ ให้การตอบรับดีมาก รู้สึกยังไงกับกระแสที่ได้รับ?
โบ๊ท : ตั้งแต่ปล่อยไพลอตไปแล้วขึ้นล้านวิวแรก ผมตกใจมากไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้อยู่ในผลงานที่ถูกปล่อยไปแล้วยังไม่ใช่ตัวซีรีส์จริงแล้วถึงล้านวิวด้วยจริงๆ ต้องขอบคุณแฟนๆ ทั้งแฟนนิยาย แฟนซีรีส์ ที่ซัพพอร์ตพวกเรา พวกคุณเป็นส่วนนึงที่ทำให้เราทำงานสนุกขึ้นมาก มีกำลังใจขึ้นมากๆ และหวังว่านอกจากตัวไพลอต และเทลเลอร์ ที่ปล่อยไปแล้วทุกคนจะชอบซีรีส์เรื่อง “ไหนเฮียบอกไม่ชอบเด็ก” มากๆ เช่นกันนะครับ
โอ๊ต : ที่จริงก็ค่อนข้างตกใจครับ ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับดีขนาดนี้ อย่างที่บอกเป็นการเล่นซีรีส์วายแบบเต็มตัวเรื่องแรกของผมด้วย รู้สึกดีใจมากและประทับใจมากครับ ขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจและเข้ามาซัพพอร์ตผมด้วยนะครับ
มีฉากไหนที่ต้องถ่ายหลายเทคเพราะเขินกันเองบ้างไหม?
โบ๊ท : จริงๆ เขินกันเองนี่ผมว่าเป็นช่วงแรกๆ ของการถ่ายฉาก NC มากกว่าครับแต่ก็ไม่ได้หลายเทคขนาดนั้นเพราะทั้งผมแล้วก็โอ๊ตเล่นกันแบบปล่อยใจอยู่แล้ว แต่ถ้าหลายเทคจริงๆ จะมีซีนนึงที่อยู่บนเตียงครับแล้วทั้งต้องใช้อารมณ์ด้วย แล้วก็บทพูดยาวด้วย พออารมณ์มาก็ลืมบท อะไรแบบนี้ครับ เลยต้องถ่ายหลายเทคหน่อย
โอ๊ต : เรื่องเทคเพราะเขินที่จริงไม่มีนะครับ ระหว่างผมกับโบ๊ทเหมือนเลยจุดกันกันไปแล้ว แรกๆ ก็มีเขินกันบ้างครับ แต่หลังๆ มานี่บอกเลยว่าชิลมาก ที่ถ่ายหลายเทคส่วนใหญ่จะเป็นซีนอารมณ์มากกว่า บางซีนใช้พลังงานเยอะมาก และบทก็ยาวมาก บางทีก็เหมือนจะหลุดกันไปบ้าง
อยากฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ติดตามซีรีส์และเชียร์คู่นี้มาตลอด?
โบ๊ท : ขอบคุณครับ คือไม่มีคำไหนที่ผมคิดว่าพูดไปแล้วจะเพียงพอกับการรอคอย การซัพพอร์ตพวกเรามาระยะเวลาขนาดนี้เลย พวกคุณคือส่วนนึงที่ทำให้ซีรีส์เรื่อง ไหนเฮียบอกไม่ชอบเด็ก เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะซีรีส์จะเป็นซีรีส์ไม่ได้เลยถ้าขาดคนดูที่คอยซัพพอร์ตและคอยให้กำลังใจ อยากให้อยู่กันแบบนี้ไปตลอดเลยนะครับ เติบโตไปพร้อมๆกับพวกเรา
โอ๊ต : แน่นอนว่าต้องอยากฝากซีรีส์เอาไว้ด้วยนะครับ ฝากทุก EP เลยนะ แล้วก็อยากฝากติดตามผมกับโบ๊ท ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหนก็ตาม หลังจากนี้ก็จะมีโปรเจกต์ร่วมกันตลอด สุดท้ายอยากขอบคุณแฟนๆ ทุกคนมากๆ ที่ติดตามและคอยให้กำลังใจผมแบบนี้ รักมากๆ นะครับ
ถ้ามีโอกาสได้เล่นคู่กันอีกครั้ง อยากให้เป็นแนวไหนหรือบทแบบไหน?
โบ๊ท : ถ้าบทแบบไหน อันนี้ตอบยากนะ เพราะถ้าผมเล่นกับโอ๊ตผมโอเคหมดเลยในพาร์ทการงานทำงานสำหรับผมโอ๊ตคือเซฟโซนของผมมากๆ เพราะผมเรียนรู้อะไรบางอย่างอยู่เสมอและพัฒนาขึ้นจากการได้อยู่และทำงานด้วยกัน และไม่รู้หรอกครับว่าในอนาคตเราจะได้ทำงานเป็นคู่กันในบทบาทไหน หรือแนวไหน แต่ถ้าได้ทำงานด้วยกันกับโอ๊ตผมไม่กลัวอะไรเลย ใช้คำว่า “ไอ้เพื่อนยาก” เลยก็ได้
โอ๊ต : ถ้ามีโอกาสได้เล่นกับโบ๊ทอีกเหรอ ที่จริงผมได้หมดนะถ้าเป็นโบ๊ท แต่ถ้าต้องเลือกเอาเป็นแนวกีฬาดีมั้ย ผมชอบเล่นกีฬาไง เล่นหลายอย่างครับ ตีแบตฯ ว่ายน้ำ ฟุตบอล วอลเล่ย์ประมาณนั้น ก็อาจจะรับบทเป็นนักกีฬา ส่วนโบ๊ทก็เป็นนักกายภาพในทีมอะไรประมาณนั้น เพราะเขาหุ่นดีครับ ก็เป็นเรื่องของนักกีฬากับนักกายภาพในทีมละกัน น่าสนุกดี
รับชมซีรีส์ “ไหนเฮียบอกไม่ชอบเด็ก (Mystubborn, 心口不一)” ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 23:00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD ดูออนไลน์เวอร์ชัน UNCUT บนแอป iQIYI และเว็บ iQ.com และรับชมย้อนหลังเวอร์ชัน Clean ได้ทาง YouTube : MFlow Entertainment
Makeup : @moly_makeup
Stylist : @chittawatr
Editor in Chief : Austin Thein
Photography team : @gur_kerdsup
#ไหนเฮียบอกไม่ชอบเด็ก
#MyStubborn #โบ๊ทยงค์ยุทธ #โอ๊ตภาสกร