Cover Interview – Mike Pattaradet

‘ไมค์-ภัทรเดช สงวนความดี’ กับฉากชีวิตที่เขาขอเป็นคนกำหนดเอง

เขียนแบบเรียบเรียงเรื่อง ก็ดูท่าจะถอดชีวิตและความคิดผู้ชายหุ่นกำยำล่ำสัน รูปร่างสูง 182 เซนติเมตรคนนี้ออกมาได้ไม่ครบถ้วน POSH MAGAZINE THAILAND เลยขอเผยฉากชีวิตของ ‘ ไมค์-ภัทรเดช สงวนความดี @mike_pattaradet ’ ทีละฉาก ตั้งแต่ฉากครอบครัว การแสดง แฟนคลับ ไปจนถึงมุมนักธุรกิจ ที่น้อยคนนักจะได้ยินจากปากผู้ชายคนนี้ในรูปแบบคำถาม-คำตอบ ที่เขาขอเลือกและกำหนดชีวิตด้วยตัวของเขาเอง เราเลยขอใส่ทุกคำตอบที่แสนจะจริงใจลงไปในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ซึ่งเมื่ออ่านจบแล้ว คุณจะยิ่งหลงรักความคิดของหนุ่มหน้าคมคนนี้มากขึ้น

ฉากที่ 1: ครอบครัวล้ม ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจ

ไมค์: หลายคนคงรู้ว่า ที่บ้านผมล้มละลาย จนถึงขั้นต้องพึ่งหลวงพ่อช่วยเมตตาให้ทุนการศึกษา ถ้าให้ผมมองกลับไป ผมไม่ความรู้สึกท้อหรือน้อยเนื้อต่ำใจเลย เพราะคนเราเกิดมาแต่ะละคนไม่เหมือนกัน ลองสังเกตดูก็ได้ว่า คนที่โทษตัวเอง มักไม่ค่อยเดินไปข้างหน้า คอยแต่จะหาเหตุผลว่า ทำไมชีวิตตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น อะไรที่เกิดขึ้นแล้วในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงาน ความรัก หรือธุรกิจ ทุกอย่างคือปัจจุบัน และปัจจุบันนี่แหละจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเราได้เป็นอย่างดี แม้มันอาจจะไม่เหมือนกับที่ตั้งใจไว้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จงภูมิใจเถอะว่า วันนั้นเราได้คิดและตัดสินใจทำออกมาอย่างดีที่สุดแล้วในช่วงเวลานั้น

ฉากที่ 2: วงการบันเทิงเชิงดาร์ก ผมเลือกที่จะไม่จำ

ไมค์: ด้วยสถานการณ์ทางการเงิน ทำให้ผมเข้ามาในวงการนี้ เพราะคิดว่าทำงานในวงการน่าจะแก้ไขปัญหาทางการเงินที่บ้านได้ แต่จนแล้วจนรอด การเข้ามาในวงการของผมใช่ว่าจะราบรื่น เพราะมี 2 เหตุการณ์ที่ผมต้องเอาตัวเข้าแลก ครั้งแรกตอนอายุ 16 ปี และครั้งต่อมาตอนอายุ 21 ปี หลายคนคิดว่า เจอแบบนี้มาคงมีหันหลังให้วงการกันบ้าง แรกๆ ผมก็เป็นแบบนั้น หายไปเลย 4-5 ปี ไปเรียนหนังสือ แต่พอมีโอกาสอีกครั้ง
ผมเป็นคนเลือกที่จะไม่จำอดีต เลือกที่จะช่างมัน และท้าทายชีวิตว่า ตัวเองจะไม่เข้าไปเจอการทำงานที่ไม่ยุติธรรมแบบนั้นอีก ปรากฏพอเปลี่ยนมุมคิดนั้นได้ กลายเป็นว่าจากความกลัว แปรเปลี่ยนมาเป็นความท้าชนในทุกๆ อย่าง เพราะผมอยากพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น เพราะสุดท้ายคนที่ผมพึ่งได้คือ ตัวของผมเอง

ฉากที่ 3: การแสดงคือการเอาชนะที่คุ้มค่า

ไมค์: ยอมรับตามตรงว่า ผมเคยไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ มันโคตรยากเลย ผมโดนติทุกวันตอนเข้ามาวงการแรกๆ เรื่องการแสดงของตัวเอง “พระเอกอะไรเล่นยังกับตึก แข็งยังกับหิน แสดงแบบนี้เปลี่ยนพระเอกดีกว่า” ผมโดนติแบบนี้ทุกวัน แต่พอย้อนกลับมาคิดดีๆ อย่างที่ผมบอกไป มันแค่ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย หลายคนมักบอกว่า เป็นนักแสดง เล่นละคร ได้เงิน ให้คนชื่นชอบ มีความสุข แต่รายละเอียดกว่าที่คนจะชอบในการแสดงและตัวตนของเราได้ มันมีมากกว่านั้น 

ผมเลยเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง กลับมาตั้งใจทำมันดูอีกตั้งว่า การแสดงคืออะไร ซึ่งจากการปรับความคิดตรงนั้น มันทำให้ผมเติบโตขึ้น มองเห็นสิ่งที่ทำได้ลึกขึ้น และอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น การแสดง เราควบคุมอารมณ์ได้ รู้จักเคมีในร่างกายตัวเอง คือยิ่งศึกษายิ่งมีเสน่ห์ ซึ่งวิธีคิดที่เปลี่ยนไปในวันนั้น มันเป็นการเอาชนะตัวเองครั้งใหญ่ของผมมากๆ เลย

ฉากที่ 4: บทละคร Make Sense คือทางถนัดของผม

ไมค์: ปีหนึ่งผมรับละครประมาณ 2 เรื่อง ซึ่งผมรับงานละครน้อยกว่าคนอื่นเลยนะ และถ้าใครสังเกตละครที่ผมแสดงดีๆ ผมอยากแสดงละครที่มีเหตุผลและตรรกะรองรับว่า เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ พูดง่ายๆ คือ อ่านแล้วรู้สึก Make Sense ว่า ทำไมตัวละครถึงทำแบบนี้ หรือทำไมเรื่องราวตรงนี้ยังคงเส้นเรื่องแบบนี้อยู่ อย่าง ‘เภตรานฤมิต’ ที่ผมแสดงเป็น ‘คุณหลวงราชมนตรี’ ที่เพิ่งจบไป เป็นโปรเจกต์ที่ผมตั้งใจกับมันมากๆ 

อย่างแรก ผมไม่เคยแสดงละครพีเรียดเลย อยู่มา 10 กว่าปีไม่เคยเลย อย่างที่สอง เป็นตัวละครที่เรารู้ถึงเหตุผลการกระทำของเขาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างที่ไม่มีข้อสงสัย และอย่างที่สาม เป็นเรื่องที่ผมอยากจะตื่นขึ้นมาทำงานตลอดเวลา เพราะมีความสุขมาก ได้เจอเพื่อน เจอน้องที่น่ารัก ซึ่งหลายคนผมก็ยังไม่รู้จังหวะเขาเวลาคุย แต่พอได้คุยแล้วคือเครื่องติดยาว และเจอนักแสดงรุ่นใหญ่ที่เรายังไม่เคยร่วมงานหลายคน ซึ่งผมยังคิดถึงการนั่งกินข้าวด้วยกันในกองและแลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่เลย ดังนั้น พอโตขึ้นในหลายๆ ปีที่ผ่านมา
ผมเลยอยากจะแสดงและเลือกเรื่องที่ตัวเองอยากเป็นจริงๆ เลยทำให้การรับงานละครของผมในครั้งต่อไป อาจต้องคิดและพิจารณาประมาณหนึ่ง

ฉากที่ 5: แฟนคลับไมค์เท่ากับ…

ไมค์: แฟนคลับเท่ากับแฟมิลี่ เป็นพี่น้องและคนในครอบครัวของผมอีกครอบครัวหนึ่ง พวกเขาอยู่ในทุกโมเมนต์ของชีวิต อยู่ในทุกความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นก้าวแรกอย่างละครเรื่องแรก พวกเขาก็มายินดี หรือผมซื้อรถขับเองครั้งแรก แฟนคลับก็มายินดีถึงศูนย์รถเลย ยังไม่นับรวมวันเกิดและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาทำให้ รวมไปถึงก้าวใหญ่ๆ อย่างธุรกิจที่ผมสร้าง เขาก็ให้กำลังใจเสมอ ผมซาบซึ้งในสิ่งที่พวกเขาทำ ผมรักทุกคนที่มาหา
และเป็นห่วงมากๆ เช่นกันที่เขาเดินทางมาหาในแต่ละครั้ง บางทีวันเสาร์-อาทิตย์ พวกเขายังเดินทางมาหาที่งานอีเวนต์ต่างจังหวัด ซึ่งเขาสละเวลามาเพื่อผม ผมเลยอยากขอบคุณพวกเขามากๆ และอยากให้วันที่เขามาเจอผม เป็นวันที่มีความสุขที่สุด เพื่อที่วันจันทร์จะได้กลับไปทำงานอย่างเต็มที่

หรือมีเรื่องหนึ่งของแฟนคลับที่ผมอยากเล่ามาก แต่ยังไม่เคยเล่าที่ไหน แต่มันทำให้เห็นถึงภาพ
ความเป็นครอบครัวชัดเจน มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อยู่ที่คอนโด แล้วแม่ผมไม่อยู่ที่ห้อง น่าจะอยู่พัทยากับพี่ชาย ซึ่งผมไม่เคยให้ใครมาที่ห้อง แต่ร่างกายของผมตอนนั้นคือ สั่นและเริ่มหายใจไม่ค่อยออก เลยโทร.ให้แฟนคลับขับพาผมไปโรงพยาบาล และได้ฉีดยา 1 เข็มก็รู้สึกดีขึ้น แถมวันต่อมา มีไปงานของช่องต่อตอนเช้าด้วย จำได้ว่า ชีวิตทรหดมาก แต่แฟนคลับสู้ชีวิตกว่าผมอีก คือผมอยู่ได้ทุกวันนี้ พูดได้เต็มปากเลยว่า
มีแฟนคลับดีครับ

ฉากที่ 6: การจัดการเวลาคือสิ่งที่ยากอยู่สำหรับธุรกิจ

ไมค์: ธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องอยู่กับมันจริงๆ ต้องจริงใจกับมันจริงๆ ถึงจะทำได้สำเร็จ ผมเลยมองว่า เวลาคือสิ่งที่จัดการได้ยาก เพราะธุรกิจมีปัจจัยหลายอย่างที่ผมต้องให้เวลาและคิดกับมันอย่างถี่ถ้วน เช่น จะเอาอะไรเป็น
ตัวตั้ง หากคิดเรื่องคุณภาพเป็นตัวตั้ง คุณต้องยอมรับว่า วัตถุดิบหรือต้นทุนสิ่งของคุณจะแพงไปด้วย แต่น่าแปลกที่ว่า คนส่วนใหญ่กลับซื้อจากบรรจุภัณฑ์ ความน่าเชื่อถือของสินค้าเลยไปกองที่ตรงนั้น แต่ถ้าจะนำเงินไปลงแค่บรรจุภัณฑ์เพียงอย่างเดียว คุณภาพวัตถุดิบของผมต้องลดลงมาด้วย ผมเลยกำลังหาจุดสมดุลของมันอยู่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร กว่าจะเจอจุดที่ถูกใจ

อย่างล่าสุด ยูแอนด์ไอ (You & I) สุกี้พรีเมี่ยมบุฟเฟ่ต์ที่ผมเป็นพาร์ทเนอร์อยู่ ผมเองก็เต็มที่และใส่ใจในทุกขั้นตอน โดยได้พี่ที่สนิทมากคนหนึ่งมาร่วมกันเป็นพาร์ทเนอร์ ซึ่งผมเห็นถึงความตั้งใจของทุกคนที่อยากจะทำมันให้สำเร็จ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลา และตอนนี้เวลาได้ให้ดอกผลของมันแล้วคือ ผมหุ้นมาปีนี้เป็นปีที่ 2
ร้านขยายไป 20 กว่าสาขาแล้ว เร็วกว่าที่คิดไว้มาก ดังนั้นแล้ว ผมว่าเรื่องจังหวะและเวลาเป็นเรื่องยากที่ใครจะกะเกณฑ์ได้ว่า มันจะประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ อย่างผมเองก็ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกนานอยู่เหมือนกัน

ฉากสุดท้าย: ชีวิตที่ (ยังไม่) ลงตัว

ไมค์: ทั้งธุรกิจ ชีวิตส่วนตัว การทำงาน การอยู่ในวงการ ยังไม่มีอะไรลงตัวเลย เพราะทุกวันมันมีบททดสอบที่แตกต่างกันไปอยู่ วันนี้แก้เรื่องธุรกิจ อีกวันแก้เรื่องการแสดง อีกวันแก้เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว อีกวันแก้เรื่องการเป็นผู้จัด ซึ่งในทุกวันนี้ ผมทำดีที่สุดแล้ว แต่ผมยังมีเป้าหมายที่ยังอยากจะไปให้ถึงอยู่ นั่นคือ เรื่องผู้จัดละครที่ผมทำอยู่ ผมอยากอยู่ในผลงาน Masterpiece ที่มันดีมากๆ ที่ชาวต่างชาติมาดูแล้วประหลาดใจว่า
คนไทยทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ในต้นทุนและโปรดักชั่นเล็กๆ ที่ผมมี ซึ่งผมคิดว่าผมทำได้ และในเมื่อมีโอกาสเข้ามาแล้ว ผมก็คว้ามันทันที เพราะผมก็อยากเห็นตัวเองเหมือนกันว่า ในอาชีพที่ผมทำอยู่ตอนนี้ มันจะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน 

POSH ไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน แต่จากฉากแรกมาจนถึงฉากสุดท้าย ไมค์มีความคิดที่แน่วแน่มาก และทุกสิ่งที่ทำล้วนทำอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า “แพชชั่น” หรือความหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็ขอเลือกเส้นทางนั้นด้วยตัวของเขาเอง  POSH ขอเป็นกำลังใจให้ไมค์ในทุกฉากชีวิตหลังจากนี้


Creative Director/Photographer: Termsit Siriphanich @termsit
Stylist: Khomkrit Thanasomboon @Kristhanasomboon
Makeup: @dearnaya
Hair: @ayapalee
Clothes: @H&M @COS @Sandrohomme @painkiller_atelier
Editor in Chief: Austin Thein
Photo Assistant: Peerakran Numnoke @_pnp.jpeg_ Nol Kerdsup @gur_kerdsup
Interview: Yutthachai Sawangsamutchai @Youthtumz
#MIKExPOSH