Cover Interview – Bright Norraphat Vilaiphan

ใต้ความคิดและระหว่างทางการแสดงของ “ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์”

เขาเป็นลูกคนเดียว เขาเคยเป็นเน็ตไอดอล เขาติดเพื่อน เขาเคยเกเร เขาเคยมีเรื่องชกต่อย และตอนนี้เขากลายเป็นนักแสดงและพระเอกของช่อง one31 ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งสำหรับ “ไบร์ท-นรภัทร” @brightnorr ที่ชีวิตผู้ชายคนนี้แทบจะสุดในทุกด้าน ตั้งแต่ตัวตน การใช้ชีวิต ไปจนถึงการแสดงที่เขาได้รับ 

2

แต่สำหรับ POSH MAGAZINE THAILAND แล้ว สิ่งที่สุดอีกด้านหนึ่งคือ ความธรรมชาติและตรงไปตรงมาของเขา ที่ทำให้เราตกตะกอนอะไรบางอย่างได้จากความคิดของผู้ชายคนนี้ ภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลากลับเต็มไปด้วยบทเรียน ประสบการณ์ และเรื่องราวมากมายที่พาให้เราหลงรักผู้ชายคนนี้ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่มาจากความพยายามที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นมาเองกับมือล้วนๆ

ใต้ใบหน้า “ไบร์ท-ไบร์ท”

เราขอแอบเล่นคำหน่อยๆ เพราะชื่อของเขาหมายถึงแสงสว่าง ผิวหน้าของเขาเองก็สว่างพอกัน แต่เราไปเห็นสัมภาษณ์ในรายการออนไลน์ที่หนึ่งที่เจ้าตัวบอกว่า ‘คนอื่นมักชอบมองผมว่า ดูง่วง ดูเฉื่อย ตลอดเวลา’ แต่ไม่มีใครเคยถามเขาเลยว่า เป็นแบบที่คนอื่นพูดๆ กันหรือไม่

“ใช่ เป็นครับ ไม่เถียง มันดูเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขนาดพี่ช่างแต่งหน้ายังบอกเลยว่า ‘ง่วงหรือเปล่า’ แต่ข้างในของผมลึกๆ แล้ว มันไม่ได้ง่วงนะ แต่เราไม่ใช่คนพลังล้นแบบไม่มีเหตุผล ตอนทำงานแสดง
ผมจะมีพลังแบบหนึ่ง หรืออย่างตอนถ่ายแบบ ผมก็จะมีพลังของผมอีกแบบ รวมถึงอาจเป็นคนชวนใครพูดไม่เก่ง แต่ถ้าได้คุยแล้ว คุยเยอะและคุยมากด้วย”

1

สิ่งหนึ่งที่ไบร์ทคุยเป็นคุ้งเป็นแควกับที่อื่นๆ คือ ชีวิตช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นของเขาที่โลดโผนโจนทะยานมากๆ อย่างที่เราได้เกริ่นนำไป และยิ่งไปกว่านั้น เราประหลาดใจมากกับคำตอบในนิตยสารเล่มหนึ่งที่เขาบอกว่า ‘เมื่อก่อนเป็นคนไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความฝันอะไรเลย ไม่มีความเครียด อยากเป็นอะไรก็ไม่รู้’ ซึ่งมันเหมือนกับพี่ที่สนิทของเขา ‘ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา’ มากๆ

เราเลยใช้คำถามเดียวกันถามกลับไบร์ทว่า แล้วการเป็นคนไม่มีเป้าหมายหรือความฝันอะไรเลย มันเป็นข้อดีหรือข้อเสียสำหรับชีวิตตัวเอง

“มันไม่ดี แต่มันไม่ผิด อย่างผมที่ไม่มีความฝัน เพราะตัวเองไม่รู้เลยว่า เป้าหมายในชีวิตคืออะไร คำนี้ไม่เคยออกจากปากผมเลย เราแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่เคยได้ค้นหาคำตอบจริงจังเลยว่า ทำไปทำไม เพื่ออะไร อย่างวิชาแนะแนวในโรงเรียน จริงๆ ผมว่าควรให้เด็กได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบไม่ค่อยได้อะไร 

“ดังนั้น ไม่ได้หมายความว่า เด็กทุกคนต้องรู้ความฝันตัวเอง แต่สำหรับคนที่รู้ ผมมองว่าคือ
คนโชคดีที่รู้ว่าตัวเองชอบหรืออยากทำอะไร ซึ่งนั่นเป็นเหมือนทางลัดเล็กๆ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาที่อาจจะสั้นกว่าคนอื่นหน่อย แต่สำหรับคนไม่รู้ เขาก็ไม่ผิดนะ เพราะบางคนอายุ 25 หรือ 30 ปี ที่ยังไม่รู้ว่า ความฝันหรือเป้าหมายของตัวเองคืออะไร ก็มีอีกเยอะเหมือนกัน”

3

เป้าหมายไม่คาดฝันของไบร์ทที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ การได้มาเป็นนักแสดง ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวเองก็บอกว่า หลงอยู่นาน เดินแบบไร้ Google Map และรู้แค่ว่าจุดหมายของวงการนี้ หน้าตาประมาณนี้ เราติดกับคำคำนี้มากที่ไบร์ทบอกว่า หน้าตาประมาณนี้ ประมาณนี้มันคือประมาณไหน 

“ผมไม่ได้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่มีเพดาน อย่างถ้าผมเป็นพนักงานบริษัททั่วไป ผมอาจจะเห็นเพดานของตัวเองชัด แต่สำหรับงานวงการบันเทิงหรืองานแสดงแล้ว มันขึ้นอยู่กับผมล้วนๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพดานในวงการนี้ มันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าผมทำตัวดี เก่งจริง ดูแลตัวเองได้ มันอาจทะลุเพดานไปจนถึงระดับประเทศ ทวีป หรือโลกไปเลยก็ได้ และเชื่อว่า ถ้าเอาจริง เราเองก็น่าจะทำมันได้เหมือนกัน ผมคิดอย่างนั้นนะ”

ใต้หล้า: ใต้ตัวละคร “หิรัญ”

ไบร์ทกำลังเอาจริงอยู่ เพราะหนุ่มร่างสูงคนนี้เชื่อมั่นว่า ถ้าตัดสินใจทำแล้ว ก็ต้องไปให้สุด อย่างการรับบท ‘หิรัญ’ ที่ผู้ชมทั้งเกลียด แต่ก็เอาใจช่วยไปด้วยทั่วบ้านทั่วเมือง แม้จะเป็นตัวละครที่เนื้อในเทาเอามากๆ แต่ความเทากลับกลายเป็นความสนุกที่ไบร์ทตื่นเต้นเอามาก เพราะมันคือการทำโจทย์ใหม่ที่ไบร์ทเองก็ไม่เคยลองทำมาก่อน

“สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งไว้ตั้งแต่ตอนทำเวิร์คช็อปละครเรื่องนี้คือ ตัวนี้ไม่ใช่ตัวร้าย แม้หน้าที่หรือบทบาทของมันจะดูแบดเอามากๆ แต่โจทย์ใหม่ที่ผมจะทำให้ได้จากตัวละคร ‘หิรัญ’ คือ ทำยังไงให้คนทั้งเกลียดและสงสารตัวละครนี้ อันนี้คือตั้งเป้าหมายไว้ก่อนเริ่มต้นโปรเจกต์เลย เพราะผมอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ที่เกลียดและสงสารตัวละครตัวนี้ไปพร้อมๆ กัน 

 

โจทย์ต่อมาคือ การเข้าไปในตัวละคร ‘หิรัญ’ ไบร์ทเคยบอกว่า แกนหลักที่ตัวเองใช้ในการกลืนตัวละครเข้าไปคือ สังเกตคนเยอะๆ เข้าใจพฤติกรรมของคนให้ได้มากที่สุด เลยไม่แน่ใจว่า กับเทคนิคนี้ได้ใช้ในตัวละครล่าสุดที่ตัวเองเล่นมากน้อยแค่ไหน

4

“ไม่ใช่แค่เฉพาะหิรัญนะครับ ผมใช้กับทุกตัวละครที่แสดง ซึ่งต้องยอมรับว่า ประสบการณ์ชีวิตของนักแสดงมีผลต่อการแสดงในตัวละครนั้นๆ เหมือนกัน เพราะเมื่อก่อน 2-3 ปีแรก ที่ผมเองเล่นไม่รู้ค่อยรู้เรื่อง นั่นเป็นเพราะผมไม่เคยสนใจใครเลย อยู่แต่กับตัวเอง แต่พอเริ่มทำนานๆ เข้า อย่างการสังเกตผู้คน มันติดกลายเป็นนิสัยและช่วยได้จริงๆ

“เวลาว่างๆ ผมเลยพยายามออกไปเจอผู้คนใหม่ๆ ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง และจะพยายามไม่หนีโอกาส ต่อให้เป็นใครไม่รู้ชวนผมไปเที่ยว ผมก็ไปนะ เพราะอยากรู้ว่า เจอคนคาแร็คเตอร์แบบนี้ เราจะรับมือกับเขาอย่างไร ซึ่งมันสนุกมาก และทำให้การแสดงของตัวเองค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วย”

“ผมคิดเองว่า ต้องมีคนที่เกลียด ‘หิรัญ’ แน่ๆ หลังจากที่ได้ดูใต้หล้า แต่จากเทคนิคที่ผมบอกไปผมจะทำให้เขาไม่ใช่แค่คนถูกด่าอยู่เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องถูกรักและถูกสงสารไปด้วยในคราวเดียวกัน ก็ยอมรับตรงนี้ว่า เป็นชาเลนจ์ที่ไม่ง่าย”

ความท้าทายที่ไม่ง่ายนี้ คงถูกเหล่าผู้ชมพิสูจน์กันไปจนจบแล้ว เราเลยถามกลับคนที่เล่นว่า รักอะไรในตัวละคร ‘หิรัญ’ เพราะไบร์ทพูดในหลายสื่อมากว่า เป็นบทที่ไบร์ทตกหลุมรักและภูมิใจกับมันมากที่สุด

“ผมว่าตัวละครหิรัญมัน ‘เท่’ นะ เท่มากๆ ถ้าตัดเรื่องตอนเด็กๆ ที่เขานิสัยไม่ดีออกไป หิรัญคือคนเท่คนหนึ่ง ถ้ามันได้อยู่ในครอบครัวดีๆ มันต้องเป็นคนที่สุดยอดคนหนึ่งเลยแหละ ซึ่งบางมุมมันคล้ายกับผม และสิ่งที่ผมชอบตัวละครตัวนี้ คือการรักใครรักจริง อย่างฟ้ารุ่งมันก็รักจริงๆ ถึงจะทำอย่างนั้นใส่เขาด้วยวัยคะนองของผู้ชายก็เถอะ แต่มันก็รักในแบบฉบับของมัน เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตของผู้ชายคนนี้ ก็มีแค่ผู้หญิงคนนี้คนเดียวเท่านั้น”

 

ไบร์ทก็ได้พูดในรายการออนไลน์ที่หนึ่งอีก เขาบอกว่า ไม่ค่อยดูผลงานย้อนหลังในเรื่องที่แสดงผ่านๆ มา แต่ถ้าต้องให้ประเมินย้อนหลังจริงๆ ถึงคะแนนการแสดงในเรื่องนี้ ไบร์ทบอกว่าอยู่ที่ประมาณ 7.5-8 เพราะการแสดงอาจไม่ได้ดีที่สุดในทุกฉาก แต่ไม่มีฉากไหนที่รู้สึกเสียใจเลย เพราะเขาทำเต็มที่ในทุกๆ ฉาก 

นอกจากนี้ ไบร์ทยังพูดอีกว่า สำหรับใต้หล้า เขาใช้คำว่า ‘เล่นดี’ กับตัวเองได้อย่างภาคภูมิ และดีใจในทุกๆ เพอร์ฟอร์มที่ทำออกไป ซึ่งลบคำสบประมาทจากคนที่เคยบอกว่า เล่นแข็งได้แล้ว แต่เหมือนเขาจะยังไม่พอใจ เพราะไบร์ทเสริมทัพอีกว่า “เรื่องต่อไปเอาอีก ต้องเก่งขึ้นอีก”

5

ใต้คำว่า “โอกาส”

มีคนเคยถามไบร์ทแล้วว่า อาชีพนักแสดงเปลี่ยนชีวิตแค่ไหน เขาบอกว่า เยอะมาก ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนเยอะมากที่สุดคือ ทัศนคติ โดยไบร์ทในตอนแรกยอมรับว่า ไม่รู้จักคำนี้ แต่เขาถูกพูดกรอกหูถึงการมีทัศนคติและเป้าหมายในชีวิต โดยผู้ชายที่ชื่อ ‘บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ’ ผู้ซึ่งหยิบยื่นโอกาสให้เขาบ่อยครั้ง จนหลายคนบอกว่า เขาคือลูกรักคนหนึ่งของช่อง 

สิ่งที่เราถามต่อ ไม่ได้ถามถึงความรู้สึกของการเป็นลูกรัก แต่ลูกรักคนนี้เข้าใจสิ่งที่ ‘บอย-ถกลเกียรติ’ พูดกรอกหูมากน้อยเพียงใดในทุกวันนี้

“ถ่องแท้แล้วครับผม (หัวเราะ) ซึ่งพี่บอยเขาจะพูดอยู่ไม่กี่คำ แต่นักแสดงที่เข้ามาใหม่ๆ หลายคนจะจำได้ขึ้นใจ เหมือนเป็นคติประจำใจ นั่นคือ เดิมพัน เป้าหมาย และทัศนคติ 3 ข้อนี้เลย ซึ่งตอนแรกผมไม่เข้าใจ จำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร แล้วทำไมต้องทำ แต่ตอนนี้ผมกลับไปมองสิ่งที่เขาพูด ฟีลมันเหมือนดูละครเก่าเลย

“เราคิดว่าตัวเองเก่งและแน่มากในช่วงหนึ่ง แต่ผมจะบอกอะไรให้นะ ไบร์ทในตอนนั้น มึงไม่เท่าไหร่ว่ะ (หัวเราะ) มันเป็นฟีลแบบนี้เลย เพราะทุกการแสดงคือการเดิมพัน เดิมพันด้วยชีวิตและทัศนคติที่ดีในการทำงาน ซึ่งมันจะนำไปสู่เป้าหมายที่ไปได้ไกลกว่าที่คุณเองก็ไม่เคยคาดคิด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเขา และส่งผลให้ผมโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จากคำพูดของเขา”

คำพูดต่อมาที่น่าจะส่งผลถึงนักแสดงหลายๆ คน รวมถึงตัวไบร์ทเอง นั่นคือ เรื่องของการยืนระยะและเรื่องอายุในวงการ เรารับรู้ถึงความตั้งใจที่ไบร์ทส่งมาให้ผู้ชม แต่งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา และอาชีพนักแสดงก็ดูท่าจะมีอายุขัยหรือมีวันหมดอายุของมัน ซึ่งไบร์ทเองก็เชื่อแบบนั้น

“ผมเพิ่งมานั่งคิดเรื่องนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า สุดท้ายแล้ว ‘ไบร์ท-นรภัทร’ อยากเป็นนักแสดงหรือซูเปอร์สตาร์ เราต้องมานั่งตกลงกับตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าอยากเป็นซูเปอร์สตาร์ หนึ่งคือ ดังเปรี้ยง สองคือ ต้องเก่งประมาณหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมคิดหลังจากนั้นคือ มันจะอยู่นานหรือเปล่า สรุปเรารักอะไรกันแน่ ชื่อเสียง เงินทอง หรือว่าการแสดง

ผมอาจไม่ใช่คนโลกสวยขนาดว่า ผมรักการแสดงมาก เงินน้อยไม่เป็นไร ผมรับได้ ผมสนุกกับงานนี้ มันก็ไม่ใช่ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมตกลงกับตัวเองได้คือ ทุกอย่างต้องควบคู่ไปด้วยกัน และต้องทำให้ถึงจุดนั้นก่อนที่จะหมดอายุไปซะก่อน ผมเลยจะบอกว่า อยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่ดี เพื่อให้ทุกคนจดจำได้ในฐานะซูเปอร์สตาร์ และได้รับค่าตอบแทนที่ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำงานในวงการนี้ต่อไปได้ ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้น ก็น่าจะเหนื่อยประมาณหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ลดความพยายามที่จะไปให้ถึงจุดนั้นนะ”

6

ไบร์ทตอบไปในข้างต้นแล้วว่า เป็นคนพยายามไม่หนีโอกาส สอดรับกับสิ่งที่เคยตอบในนิตยสารเล่มหนึ่งว่า ข้อดีของตัวเองคือ ไม่ยอมที่จะพลาดโอกาสใดๆ ที่เข้ามาหาในชีวิต แล้วโอกาสสำคัญกับชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ ‘ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์’ อย่างไร

“สำคัญมาก และมันมักจะมาตอนที่เราไม่พร้อมด้วย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น เราต้องพร้อมเสมอสำหรับทุกโอกาส ไม่ได้ถึงแค่เรื่องงานเท่านั้น ทุกเรื่องผมชนหมด ไปทำความรู้จักกับมันมากขึ้น สนุกให้มากขึ้น ไปในกองหรือที่ที่ไม่คุ้นเคยมากขึ้น ซึ่งตรงนี้แหละ เราอาจได้การช่วยเหลือเกื้อกูลในอนาคตก็ได้ ผมเลยไม่ทิ้งโอกาสที่ได้มาเหล่านั้นเลย 

“ต่อให้เราอยากไปแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ที่น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ผมก็เลือกที่จะไปนะ”

ดีใจมากที่ได้โอกาสสัมภาษณ์ผู้ชายคนนี้ ที่เขาทำในทุกโอกาสอย่างเต็มที่

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โอกาสจะนำพาให้ผู้ชายที่ชื่อ ‘ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์’

ประสบความสำเร็จอย่างที่เขาวางเป้าหมายไว้ในเร็ววัน POSH MAGAZINE THAILAND ขอเป็นกำลังใจอีก 1 แรง


Creative Director/Photographer : Termsit Siriphanich @termsit @termsitstudio
Clothes : PAINKILLER Atelier @painkiller_atelier
Makeup : ฉัตร สุประทักษ์ Chat Supratak @makechatup
Hair : TheArmhair Stylis @thearm_hair89
Photo Assistant : Pichaipusit Jack Sakura @jack_the_magician
Eirin Kiyota @eirindesu
Props : Nerobrine
Editor in Chief : Austin Thein
Interview: Yutthachai Sawangsamutchai @Youthtumz
Location Studio VJ @Studio_vjthailand

#BrightnorrXPOSH