‘เพราะรักนี้…เป็นยิ่งกว่าอากาศหายใจ’ นิยามความรักอันอบอุ่นของซีรีส์ ‘Oxygen THE SERIES ดั่งลมหายใจ’ บอกเล่าความรู้สึกดีๆ ที่แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่อาจตอบคำถามมันได้ นอกจากคำว่า ‘รัก’
อีกหนึ่งคู่ในซีรีส์เรื่องนี้ที่ต้องบอกว่าทำให้สาวกซีรีส์วายต้องฟินไปกับความจิ้นของ #ภูเก้า ผู้ชาย 2 คนที่ต่างกันสุดขั้วของผู้ชายมาดกวนกับผู้ชายสายเคร่งขรึมที่จะมาทุบๆ กำแพงแห่งรักบอกเลยว่าน่าจับตามองเป็นที่สุด
‘ภู–ภูเบศ ธราธรชนะกุล’ หรือ ‘ภูริ’ นักศึกษาปี 4 คณะบริหารธุรกิจ เอกการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ ทายาทตระกูลใหญ่ เงียบขรึม พูดน้อย ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ภู: จริง ๆ แล้วตัวละครนี้มีความเปราะบางแต่เก็บซ่อนไว้ ด้วยความที่เขาเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัว ต้องเป็นคนที่ต้องไปรับผิดชอบกิจการเลยมีความคาดหวังแรงกดดันต่างๆ ที่มันหล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่ต้องจริงจัง อ่อนแอไม่ได้ คือไม่เผยด้านที่เศร้าให้เห็นเลย จนมาเจอเก้า เขาเหมือนกับเข้ามาคุย เข้ามาในชีวิตเราเรื่อยๆ เหมือนจีบ จากที่ยิ้มไม่เป็น ตัวภูเองก็เริ่มยิ้มได้
คู่ของภูเก้าอยู่ในพาร์ทดราม่าด้วยใช่ไหม
ภู: ดราม่าแบบอบอุ่น เรื่องนี้มันมีความวาไรตี้สูงมาก เพราะว่าด้วยความที่โลกยุคนี้มันใหม่ เรื่องเพศไม่ได้ถูกพูดถึงแล้ว ความรักจึงเป็นเรื่องของความรู้สึกของคนสองคน หรือความรู้สึกแต่ละคนไปเลย ไม่เหมือนละครสมัยก่อนที่จะต้องมีแค่หญิงกับชายเท่านั้น ผมรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้วายจ๋า โห…ต้องเน้นชาย-ชาย แตคำว่ารักมีความเป็นไปได้ในสังคมอยู่ แล้วผมรู้สึกว่าน่าจะเป็นเหมือนกระบอกเสียงหนึ่งที่ทำให้คนในสังคมกลับมามองประเด็นนี้ใหม่ว่าโลกจริงๆ คนเรามีสิทธิที่จะรู้สึกแล้วก็มีสิทธิที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ถ้าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้เป็นการกระทบหรือรบกวนคนอื่น ก็ทำได้ ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ต้องเปิดกว้างได้แล้ว
การได้แสดงซีรีส์เรื่องนี้คุณต้องเปลี่ยนและเรียนรู้อะไรบ้างในการทำงาน
ภู: ผมเรียนเรียนการแสดง 6 เดือน เลิกเรียนจากลาดกระบังเสร็จก็ขับรถมาอารีย์ เรียนเสร็จแล้วผมก็ขับรถกลับลาดกระบัง เช้าก็มาเรียนต่อ ก็จะต้องจัดการชีวิตตัวเองดี ๆ เพราะว่าชีวิตไม่ได้มีเวลาว่างเท่ากับคนอื่น เหมือนกับว่าเราต้องรู้หน้าที่ตัวเองเวลานี้เราต้องไปอันนี้ อยู่ในคลาสแอคติ้งก็ห้ามไปคิดเรื่องอื่น เราต้องฝึกตัวเองเยอะๆ เลย มันก็เป็นเรื่องดีเพราะว่าแรกๆ ผมก็แบบมีร้องไห้บ้าง ขับรถแล้วมันเหนื่อยแบบว่าเรากำลังจะก้าวข้ามผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่
อะไรที่เราต้องอดทนหรือเราต้องข้ามผ่านมันไป และทำหน้าที่ให้มันไปด้วยกันได้ทั้งหมด มันเหมือนกับว่าเราถูกสอนมาอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ เรื่องหน้าที่ เรามีหน้าที่ของการเป็นลูก เป็นนักศึกษา เป็นนักแสดง เป็นลูกศิษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ ทุก ๆ อย่างต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันพอเราไปออกกอง เราก็ต้องเรียนรู้ว่าเราจะอยู่ยังไงให้คนเขารักเรา อยู่ยังไงให้เราสบายใจด้วยแล้วคนอื่นก็สบายใจด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
นั่นหมายความว่า เมื่อโอกาสเข้ามาคุณจะทำให้ดีที่สุด
ภู: ใช่ครับ พอมีคนให้โอกาสผมไม่ได้มองหรอกครับว่าจะเป็นซีรีส์วาย ผมไม่ซีเรียสครับ เพราะนี่คือบทบาทหนึ่งในชีวิตที่เป็นโจทย์มาให้เราต้องไปเป็นคนนั้น คือผมแค่คิดแค่นั้นเลย เพราะหลักๆ ผมเชื่อว่าผมเป็นนักแสดง ผมเอาตัวผมที่เป็นอีกคนไปอยู่ในเรื่อง นั่นคือความท้าทายได้ชาเล้นท์ตัวเอง เช่น เราอยู่กับบทนี้ เราอยู่กับตัวละครภูริคนนี้มา เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้หนักหนาแต่ไหลลื่นไปเรื่อย ๆ เราก็แฮปปี้ เอนจอย ทุกอย่างไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
ภูตัวจริงกับภูในเรื่องนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง
ภู: ภูตัวจริงมีอารมณ์ขันมากกว่า ภูตัวจริงค่อนข้างจะรีแลกซ์มากกว่า เพราะภูในเรื่องนี่ค่อนข้างเครียด และก็เป็นคนที่แบบยิ้มยากดูเป็นคนเศร้าเกือบตลอดเวลา มีเรื่องอะไรเต็มหัวไปหมดเลย แต่ว่าภูตัวจริงจะแบบว่าจะชิลล์กว่าเยอะเลย
ถ้าในชีวิตจริงเจอคนแบบเก้าคุณจะชอบไหม ถ้าตัดเรื่องเพศออกไป
ภู: พูดตามตรงคือผมเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาจีบ (หัวเราะ) คือถ้าเขามาชอบเราก่อน เขาเป็นฝ่ายให้เรา ให้ ๆ ๆ ๆ เพื่อที่จะทำให้เราพอใจใช่ไหม? แล้วเราถึงจะได้คบกัน แต่มุมผมก็คือผมอยากเป็นคนให้ก่อนเพราะผมรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทุกอย่างผมดีลกับตัวเองคุยกับตัวเองมันคุยง่ายกว่าไปกับคุยกับคนอื่น
ถามว่าถ้าคนมาชอบเราแล้วเราปฏิเสธเขา แล้วเราจะไปดีลกับเขายังไง คือถ้าเขาเสียใจผมไม่รู้ว่าผมจะต้องรับมือยังไง ซึ่งผมค่อนข้างที่จะเลือกที่จะไปชอบก่อน คุณไม่ชอบผมเดี๋ยวผมทำให้คุณชอบเอง แล้วเดี๋ยวก็รู้กัน แต่แน่นอนในชีวิตจริงไม่มีใครรู้ตอนจบไม่มีใครรู้อนาคต แต่ถ้าเป็นแบบในซีรีส์จริงๆ ผมว่าคงต้องมีโหวงๆ บ้างแหละ คือชีวิตเราโตขึ้นทุกวัน แก่ขึ้นทุกวัน ใช้ชีวิตผมว่าอย่าไปเสียเวลาบางเรื่องเลย ถ้าเรารู้ว่าต้องตัดต้องยอมที่จะเสียใจไหมเพื่อที่เราจะไม่ต้องเอาเวลาไปทิ้งไว้กับบางอย่างที่มันไม่ส่งผลประโยชน์กับชีวิตกับตัวเราเลย ผมรู้สึกว่าเวลามันมีค่าอย่าเอาไปทิ้งเลย
นี่คือผลงานเรื่องแรกของคุณ อยากบอกคนที่ไม่เคยดูซีรีส์วายหรือชวนพวกเขาให้ดูยังไงดี
ภู: คุณชอบเห็นคนรักกันไหม
แน่นอน
ภู: ถ้าคุณชอบเห็นคนรักกัน คุณต้องดูเพราะเรื่องนี้คือเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนที่เขารักกัน จะให้นิยามคำจำกัดความหรืออะไรในซีรีส์เรื่องนี้ก็คือมันคือเรื่องความรัก คุณชอบเห็นคนรักไหม? คุณชอบเห็นความรักไหม? คุณชอบเห็นสิ่งสวยงามในชีวิตไหม ? ถ้าคุณชอบคุณก็ดู ถ้าคุณไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่… ขอบอกว่าถ้าเกิดไม่ดูก็คือคุณพลาด ความหลากหลายในเรื่องมันจะทำให้คุณรู้สึกว่า…
เฮ้ย! มันเป็นจริงๆ มันเกิดขึ้นจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะมันไม่เกินจริง บางคนอาจจะมองว่าเกินจริง ก็ละครก็ซีรีส์ก็ทุกอย่างมันคือการแสดง ผมมองว่าคนที่ดูก็ต้องตีความต่างกันอยู่แล้วแต่คนที่เล่นตีความได้แบบนี้ว่ามันคือหนังรัก คือเรื่องราวความรักของคนนะครับ ย้ำว่าของคน ของมนุษย์ที่ผมมองว่าภาวะเพศไม่ใช่เรื่องสำคัญ นั้นแหละ… ถ้าชอบความรักก็มาดู
‘บอส–ธนบัตร งามกมลชัย’ รับบท ‘เก้า’นักศึกษาปี1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกดุริยางคศิลป์ หนุ่มน้อยช่างพูด เป็นนักร้องนำวงดนตรีของคณะ นิสัยกวน ไม่สนใจใคร เจ้าเล่ห์ ทันคน
บอส: ตัวละคร เก้าเป็นหนุ่มน้อย Alert มั่นใจแล้วก็มีความซ่ามีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูงมากๆ เช่น ถ้าเขาคิดว่าสิ่งนี้เขาอยากจะทำ เขาอยากจะได้หรือคิดว่ามันถูกต้อง เขาจะพุ่งเป้าไปเลยว่ามันถูกต้องแล้วเขาต้องได้ อย่างซีนที่เจอพี่ภูออกมาจากผับแล้วปฏิเสธผู้หญิง เก้าเห็นแล้ว …โอ้โห ผู้ชายคนนี้แบบว้าวว่ะ เท่จังผู้หญิงมาจีบแบบผลักเขากระเด็นคนนี้แหละจะต้องมาเป็นของฉัน เขาก็ลุยเลย
ความน่ารักของตัวละครเก้า
บอส: ผมเป้นนักศึกษาอยู่ปีหนึ่ง ตัวภูเขาอยู่ปีสี่ ก็คือเล่นสวนกัน เพราะจริงๆ ผมอายุมากกว่าภู (หัวเราะ) อายุแบบสวนกันเลยผมต้องเล่นเป็นเด็กแบบน่ารักกับพี่ภู เรียกพี่ภู นอกจอก็จะเรียก ไอ้ภู อะไรแบบนี้ครับ
เข้ามาสู่วงการซีรีส์วายแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
บอส: เป็นเรื่องแรกที่ทำให้ตื่นเต้นแล้วก็อยากให้คนที่เขาได้ดูชื่นชอบในการแสดงของผม จริงๆ ผมท้าทายกับตัวเองด้วย เพราะว่าคาแรคเตอร์ที่ผมได้รับค่อนข้างไกลตัว จึงต้องเจาะลึกเข้าไปในคาแรคเตอร์ บอกเลยว่าเก้าเป็นตัวละครที่สนุก ซ่า แสบ ซึ่งก็ไกลตัวเรา มันจะมีช็อตหนึ่งที่เขาบอกแม่ว่า ‘แม่ผมมีคนที่ชอบแล้วนะเป็นผู้ชายด้วย …แม่ก็แบบห๊ะ… เหรอ’ ด้วยความที่เก้าเขาไม่ได้แคร์ว่าคนนั้นจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่ได้แคร์คนจะมองว่าเขาเป็นคนยังไง แต่เขาแคร์ว่าถ้าเขารู้สึกว่าเขาชอบ รู้สึกดี อยากอยู่กับคนนี้
คิดอย่างไรที่ตอนนี้ซีรีส์วายจะเป็นที่นิยมในเมืองไทย
บอส: เพราะผมรู้สึกว่าวงการซีรีส์วายหรือวงการคนที่ชื่นชอบซีรีส์วาย เหมือนอีกโลกหนึ่งที่ผมได้ก้าวเข้ามา เพราะปกติผมไม่ค่อยได้รู้ว่าพวกเขาอะไร พอได้เข้ามาตั้งแต่วันที่ประกาศว่าเราจะได้เล่น หรือบวงสรวงก็จะมีพี่ๆ กลุ่มนี้ที่เขาเข้ามาติดตามเราทั้งในประเทศ หรือต่างประเทศก็รู้สึกตื่นเต้น แล้วก็ว่าทุกคนเขาน่ารักและอยากจะสนับสนุน ผลักดันเราก็ตื่นเต้นครับ
พอได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ มุมมองความรักของคุณเปลี่ยนไปไหม
บอส: ไม่เปลี่ยนครับ ถ้าในเรื่องของความรู้สึก แต่ถ้าจะหมายถึงในเรื่องของเพศ อาจยังไม่เปลี่ยนไปขนาดนั้น ตอนเด็กๆ เราก็จะมองแค่ว่าผู้หญิงคนนี้สวย คนนั้นสวย คนนั้นดูดีเราอยากจะคบกับคนหน้าตาประมาณนี้ แต่พอโตมาเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกว่าภายนอกเป็นด่านแรก ไม่ใช่ทั้งหมด ท้ายสุดเราจะมาดูในเรื่องของความสบายใจในการอยู่ด้วยกันมากกว่า ซึ่งแต่ก่อนก็จะไม่เข้าใจว่าคนที่เขาพูดอย่างนี้มันจริงๆ เหรอ เราจะสามารถชอบคนหน้าตาแบบประมาณหนึ่งแล้วก็ชอบเขาเพราะนิสัยได้เหรอ มันต้องหน้าตาอย่างเดียวสิ ต้องแบบลุคนี้สิก็ไม่
จนเวลาผ่านไปให้เราได้ผ่านความรักมาเรื่อยๆ มันทำให้เราเก็ตจริงๆ อาจจะเปรียบเทียบได้กับวงการซีรีส์วายว่าพอโตมาเหมือนกับว่าเราใช้ความรู้สึกกับตัวบุคคลมากขึ้น มากกว่าไปกำหนดว่าเขาเป็นเพศอะไรหรือหน้าตาแบบไหนเราจะใช้ความรู้สึกของเรามากกว่า ของผมเนี่ยผู้หญิงก็ลดในเรื่องภายนอกเขาลงเยอะและเอาความรู้สึกเป็นตัวตั้งซะส่วนใหญ่
เห็นว่าคุณเคยถอดใจกับงานในวงการบันเทิงไปแล้วด้วย
บอส: ผมเกือบท้อใจเพราะผมกำหนดโควตาให้ปีนี้เป็นปีสุดท้ายด้วยซ้ำครับ แล้วแม่ก็ชวนกลับบ้าน ผมบอกแม่ว่า ขอไปล่าฝันก่อน แม่ก็บอกล่ามา 10 ปีแล้วนะลูก ลูกยังล่าไม่เสร็จอีกเหรอกลับบ้านไหม ก็แบบขออีกปีหนึ่ง แม้ก่อนหน้านี้มีผลงานแต่ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอะไร เป็นพิธีกรบ้าง แล้วก็มีช่วงลำบากของชีวิตที่ต้องไปทำเบื้องหลัง อย่างช่วงหนึ่งที่งานหดหายก็ต้องไปทำเป็นช่างภาพ เป็นผู้ช่วยตามกองถ่ายแต่ก็สนุกดีครับ ช่วงนั้นจึงได้ฝึกฝนฝีมือการถ่ายภาพ ไปฝึกความอดทนของชีวิตเหมือนกัน และก็ได้เห็นคนเบื้องหลังทำงานมันก็กระตุ้นให้เราทำงานเบื้องหน้าได้ดีขึ้น เพราะเราได้รู้ว่าจริงๆ แล้วคนเบื้องหลังเขาเหนื่อยกว่าเราเยอะกว่าจะเซ็ตซีนออกมาได้แต่ละซีน มันอาจจะไม่ได้เหนื่อยใจมากแต่ว่าเหนื่อยกายนี่มันแบบสุดชีวิตเลยครับ
เรื่องนี้มีเสน่ห์ต่างจากเรื่องอื่นอย่างไร
บอส: ผมว่ามันเป็นความอบอุ่นครับ และมีความเรียลของความรัก มีความตลกในเนื้อเรื่องที่อบอุ่นหัวใจ ไม่ได้รักแบบอารมณ์รุนแรงอะไร จะมีความกุ๊กกิ๊กน่ารัก ดูแล้วเพลิดเพลินแทรกมุกตลกเข้าไปนี่น่าจะเป็นความพิเศษของเรื่องเราแล้วก็ในเรื่องของโลเคชั่น ภาพ แสง สี ด้วยครับ
สำหรับบอส มุมมองความรักเปลี่ยนหรือเติบโตขึ้นอย่างไรไหม
บอส: ผมเพิ่งอกหัก ก็จะดาวน์ๆ หน่อยทำอะไรไม่ค่อยได้ เวลาผมมีความรักก็จะจริงจังไปหน่อย ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่เหมาะ ที่มาวิเคราะห์ตัวเอง เพราะรู้สึกว่าพอมีความรักแล้วเราจะแบบเหมือนจะจริงจังกับแฟน คิดไปไกล ติดแฟนแล้วพอเวลามีปัญหาทีก็เครียด ทำงานไม่ได้แล้วก็ด้วยชีวิตของเราตอนนี้ยังไม่ success ยังควบคุมชีวิตตัวเองได้ไม่ดี ถ้าเรามีแฟน เราอาจจะไปถ่วงเขา ลองเปรียบเทียบกับคนในชีวิตปกติ ที่เขาทำงานประจำเงินเดือนเขามันยังดูแลได้แค่ตัวเอง การมีแฟนก็ยังไม่เหมาะสม เพราะบางทีเราโตมาจะโลกสวยว่าความรักเป็นเรื่องของใจทั้งหมดไม่ได้ มันมีเรื่องปัจจัยของชีวิต ค่าใช้จ่ายต่างๆ มันก็มัดรวมอยู่ในนั้นเหมือนกัน แล้วก็ไม่ได้ผิดที่คนๆ หนึ่งจะอยู่กับคนๆ หนึ่งที่จะดูแลเราได้ดี
คุณกำลังจะบอกว่า เราต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ก่อนที่จะไปดูแลใคร
บอส: ใช่ครับ ผมไม่บุลลี่คนรวยนะ คนที่ทั้งรวยด้วยและนิสัยดีมากด้วยทำไมผู้หญิงคนหนึ่งจะไม่รักเขา เมื่อก่อนผมก็ยอมรับว่าผู้หญิงชอบคนรวยๆ แต่ก็ลืมไปว่าเขาอาจจะนิสัยดีมากๆ ก็ได้ ก็ไม่แปลกที่ผู้หญิงจะชอบ รวยด้วยนิสัยดีด้วยทำไมแบบผู้หญิงคนหนึ่งจะตกหลุมรักไม่ได้ มันเป็นเรื่องการดูแลกันและกันได้ดีครับ
ติดตามความรักแสนอบอุ่นของ #ภูเก้า ใน Oxygen The Series ดั่งลมหายใจ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 22.15 น. ทางช่อง One 31 และ IG: pd_panda และ IG: boss.thanabat
Photography : Narin Lourujirakul
Stylist : Isaya Owart
Stylist Assistant : Punnanut Kawsa-ard
Clothes : @leisureprojects @leela.official
Makeup : Vinai Jumpaprom
Hair : Tanapon Sae-tang
Location : Lyf Sukhumvit 8 Bangkok – ไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก
สนใจจองห้องพักผ่านออนไลน์ได้ที่ Booking at
https://www.lyfbyascott.com/en/thailand/bangkok/lyf-sukhumvit-8.html