COVER INTERVIEW – MEWNICH x JO

จากตำนานผีไทยสู่การตีความใหม่โดยผู้กำกับแถวหน้าของไทย “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ในภาพยนตร์ไทยแอคชั่นระทึกขวัญ “SisterS กระสือสยาม”

เรื่องราวความรักความผูกพันของ พี่น้องสองสาว ที่ไม่สามารถเลือกวิถีชีวิตและความเป็นไปของตัวเองได้ ทั้งคู่ได้รับการเลี้ยงดูมาต่างกันและต้องแยกกันอยู่ด้วยความจำเป็นบางอย่างวันหนึ่งโชคชะตาก็ทำให้สองพี่น้องต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน เมื่อ วีณาพี่สาวผู้ยอมเสียสละทั้งชีวิตเพื่อปกป้อง โมราน้องสาวผู้อ่อนแอให้รอดพ้นจาก ราตรี นางพญากระสือซึ่งรอคอยวันที่โมราจะกลายร่างในวัย 16 ปี เพื่อหมายเอาชีวิตจากความแค้นที่ฝังลึกในอดีตกับตระกูลของพวกเธอ

ok1

วันนี้ POSH Magazine Thailand พาคุณมาทำความรู้จักกับนักแสดงนำของเรื่อง มิวนิคนันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล และ โจ้พลอยยุคล โรจนกตัญญู

 

มิวนิคนันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล” บทบาทคาเเร็กเตอร์

เรื่องนี้หนูรับบทเป็น โมรา ค่ะ ก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนแอ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ แต่คุณพ่อกับพี่สาวจะบอกตลอดว่าหนูป่วย ทำให้เป็นสาเหตุที่หนูจะต้องแยกกันอยู่กับคุณพ่อและก็พี่สาว ไม่สามารถทำกิจกรรมเหมือนเด็กคนอื่นๆ ได้ คือทุกคนก็จะบอกว่าแค่ป่วย แต่ไม่มีใครยอมบอกความจริงว่าจริงๆ แล้วโมราจะกลายเป็นอะไรกันแน่ 

ok2

          

คาแร็กเตอร์นี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากตัวเองยังไงบ้าง

ก็มีเหมือนบ้างนิดหน่อยนะคะ ก็คือในเรื่องจะเป็นคนที่เงียบๆ ไม่ได้อารมณ์ดี ร่าเริงมาก เพราะว่าร่างกายตัวเองไม่เอื้ออำนวยด้วย ที่จริงก็ตรงกับหนูนะ เพราะว่าหนูเป็นคนที่ร่างกายสุขภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เหมือนกัน แล้วก็คล้ายตรงที่เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบๆ แล้วก็วัย 16 ใกล้เคียงกัน

เรื่องราวและความสัมพันธ์ของ SisterS

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสองคู่พี่น้องที่ช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ยอมรับในสายเลือดที่ตัวเองเป็น ก็เลยพยายามที่จะกีดกั้นไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

ตัวน้องสาวชื่อ โมรา มีพี่สาวชื่อ วีณาที่จะค่อยปกป้องน้องคนนี้จากอะไรหลายๆ อย่าง เพราะจริงๆ ตัวน้องเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ตั้งแต่เด็กๆ ก็มีแต่คนบอกว่าหนูป่วยๆ ทั้งที่ไม่ได้บอกว่าหนูเป็นอะไร แต่พอยิ่งโตขึ้น ความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของโมราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็อยากกินอะไรแปลกๆ ที่คนปกติเขาไม่กินกัน พี่สาวก็จะเป็นคนที่ค่อยปกป้องไม่ให้เรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้นในวันที่โมราจะอายุครบ 16 ปี คือในเรื่องก็เหมือนเรามีกันแค่ 2 คนบนโลกใบนี้ เหมือนหนูก็มีแค่พี่ พี่ก็มีแค่หนูที่ต้องปกป้องดูแลให้ต้องก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ 

จริงๆ เราสองคนจะเหมือนกันตรงที่ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองสักเท่าไหร่ ตัวพี่ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่พี่ชอบที่พี่รักแต่ต้องทำอย่างอื่นเพื่อปกป้องน้อง ส่วนตัวน้องก็ไม่ได้เที่ยวเล่นไม่ได้ทำอะไรเหมือนเด็กคนอื่น เพราะว่าด้วยข้อจำกัดอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็โดนทั้งพ่อทั้งพี่บังคับ และมาจำกัดชีวิตเราต้องกินอาหารแบบนี้ ต้องกลับเวลาเท่านี้ ต้องกินยาทุกมื้อ ก็จะมีแบบตัวโมราจะน้อยใจว่าทำไมเราถึงไม่เป็นเหมือนคนอื่น

ส่วนตัวพี่วีณาจะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอะไรเขาจะไม่ค่อยบอก แต่ที่จริงลึกๆ แล้วเขาก็ห่วงน้องมากๆ มีหลายครั้งที่เขารู้สึกว่าแบบไม่ไหวแล้ว เขาก็เหนื่อย เขาก็อยากมีชีวิตของเขา แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งน้องคนนี้ เขาก็ยังคอยช่วยให้ถึงที่สุดตลอด 

การรับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เป็นยังไงบ้าง

ครั้งแรกที่รู้ว่าจะได้แสดงเรื่องนี้คือ หนูดีใจมากๆ ก็ถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกของหนู เป็นเรื่องแรกที่หนูได้รับบทนำด้วย ก็เลยดีใจมากๆ หนูจินตนาการไว้ว่ามันก็คงลำบากล่ะค่ะ เพราะเป็นหนังผีแอคชั่นระทึกขวัญ ก็แน่นอนว่าต้องถ่ายแต่กลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็คือเรื่องจริง ส่วนใหญ่จะนัดกองแบบ 6 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเช้าของอีกวันหนึ่ง แล้วส่วนใหญ่ก็จะนัดแบบข้ามคืน เพราะว่าเป็นหนังผีก็ต้องถ่ายตอนกลางคืน 

ความยากง่ายของการแสดงเรื่องนี้

เรื่องนี้ที่ยากรวมๆ หนูว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจินตนาการ เพราะว่าแน่นอนว่าหนูไม่เคยเห็นกระสือมาก่อน หนูไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ความรู้สึกมันต้องขนาดไหน โดยเฉพาะซีนที่แบบจะต้องสู้กับกระสืออีกตัวหนึ่งจะสู้ยังไง พี่เขาบอกให้ใช้ไส้สู้ หนูก็แบบหืม…ไส้สู้ แล้วหนูจะสู้ยังไง (หัวเราะ) 

สำหรับซีนที่ยากที่สุดสำหรับหนูจะมีซีนหนึ่งที่หนูฝันประหลาด ไส้มันจะออกมายั้วเยี้ยๆ แล้วก็โดนเลือดทั้งตัว ซึ่งเราก็รู้ว่าเลือดทั้งตัวของเราคือน้ำแดงผสมน้ำเชื่อม แต่ว่าคือหนูโดนราดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็ต้องนอนอยู่ในน้ำแดง แล้วพอราดเสร็จ น้ำแดงมันก็เข้าหน้าเข้าปากเข้าหู แล้วหนูก็ไม่ได้ยินใครเลย นอกจากนั้นก็คือต้องแอคติ้งอีก ซึ่งแอคติ้งก็ยาก เพราะว่าพี่เขาบอกให้แสดงเหมือนคนที่มีอะไรกันครั้งแรก คือหนูก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องรู้สึกยังไงใช่ไหมคะ มันก็เลยจะต้องแบบทั้งต้องแสดงแล้วก็น้ำเลือดท่วมตัวอีก ซึ่งหนูเลยคิดว่ามันยากที่สุดและกินพลังเยอะที่สุดแล้วค่ะ

การร่วมงานกับปรัชญา ปิ่นแก้วผู้กำกับเจ้าพ่อไอเดียสุดล้ำ

คือมีหลายฉากที่หนูก็คิดหนักว่าหนูจะต้องเล่นยังไงนะ โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ต้องใช้ซีจีอะไรอย่างนี้ค่ะ เพราะตอนแรกๆ ยังไม่ค่อยเห็นภาพซักเท่าไหร่ จนตอนหลังเพิ่งมาเห็นซีจีคร่าวๆ ก็แบบสุดยอด คือพี่ปรัชเขาจินตนาการล้ำลึกมากๆ แบบว่ากระสือเอาไส้สู้กัน หนูก็หืม…จริงๆ เหรอคะอะไรอย่างนี้ 

ก็จริงๆ แล้วก็รู้สึกเป็นเกียรติและดีใจมากๆ เลยที่ได้ร่วมงานกับพี่ปรัช มันเป็นครั้งแรกของหนู และได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีคุณภาพ ก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ 

ok4

การร่วมงานกับทีมนักแสดง

กับ พี่โจ้ (พลอยยุคล โรจนกตัญญู) เจอกันครั้งแรกก็คือตอนเวิร์กช็อปค่ะ คือหนูเป็นไม่ค่อยพูด เป็นคนไม่ค่อยกล้าเข้าหาคนอื่นก่อน หนูก็จะนั่งนิ่งๆ ของหนู แต่ว่าต่างกับพี่โจ้เลยค่ะ พี่โจ้นี่จะแบบว่าเป็นคนที่ชวนคุยเก่งมาก เขาก็เลยจะเป็นคนเข้ามาหาหนูก่อน มาชวนคุยก่อนอะไรแบบนี้ค่ะ คือเหมือนเวิร์กช็อปครั้งแรก เราก็เจอซีนที่แบบว่าครูให้นอนหลับตาแล้วจับมือกันแล้วเขาก็ดึงมือหนูกับพี่โจ้ออกจากกัน มันทำให้หนูแบบมันแค่นี้ แต่อยู่ดีๆ ความรู้สึกหนูกับพี่โจ้เหมือนผูกพันกันมาก เพราะว่าเหมือนถ้าคนนี้หลุดออกจากมือไปจะไม่เหลือใครแล้วนะ หูย…แบบตั้งแต่นั้น หนูก็เลยรู้สึกแบบเราสนิทกันไปโดยปริยายเลย 

พี่โจ้เขาเป็นคนตลกค่ะ อาจจะเป็นเพราะหนูไม่ใช่คนแบบนั้นก็เลยมองว่าเขาเป็นคนตลกเฮฮา มากๆ อะไรแบบนี้ค่ะ แต่มีบางซีนที่เครียด เขาก็จะดูเครียดมากๆ จนดูน่ากลัวไปเลย แต่พอซีนเฮฮาสนุก เขาก็ตลกของเขาค่ะ

ตอนถ่ายทำเนี่ย จริงๆ พี่โจ้เป็นคนตัวเล็กกว่าหนูมาก และคือในเรื่องเขาต้องแบกหนูทั้งเรื่องเลย ทั้งขี่หลัง อุ้ม ล้มทับ แล้วคือพี่เขาตัวแค่นั้น หนูก็กลัวพี่เขากระดูกหักมาก ต้องคอยพาหนูวิ่ง ลากหนูไปลากหนูมา แต่ว่าก็สนุกดีค่ะ เราก็คอยห่วงกันตลอด เวลาเล่นก็มีเซฟกันและกัน บางทีพี่โจ้ต้องรับหนู แต่ว่าพี่เขาก็รับไม่ไหว เพราะหนูต้องล้มแล้วหงายไปเลยอะไรแบบนี้ ก็มีบางทีหนูก็ต้องแบบเกร็งตัวช่วยไว้บ้าง ก็ช่วยกันตลอดค่ะ 

กับ พี่ต๊อก” (ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ) ก็เกร็งมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าพี่เขาก็เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ และเขาต้องมาเล่นเป็นพ่อของหนู หนูก็เลยรู้สึกเกร็งมาก แต่พอได้มาร่วมงานจริงๆ ก็สบายใจ พี่เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมากๆ รับส่งอารมณ์ได้ดีเลยค่ะ

พี่หญิง” (รฐา โพธิ์งาม) นี่ไม่ค่อยได้เข้าฉากด้วยกันเท่าไหร่ค่ะ แต่ว่าแค่ยืนใกล้ๆ ก็น่ากลัวค่ะ คือตอนแรกรู้ว่าคนที่ต้องรับบทนางพญากระสือนี้เป็นพี่หญิงก็คือ ใช่เลย พี่เขาดูเป็นนางพญาจริงๆ แล้วเขาก็เหมาะกับบทบาทนี้มากๆ เลย 

กับ พี่ฟลุท” (ชินพรรธน์ กิติชัยวรางค์กูร) นี่จริงๆ ได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่เด็กๆ เลย คือแบบละครเรื่องแรกของหนูก็คือได้เล่นกับพี่ฟรุทเลย ก็เลยไม่ค่อยเขินกันเท่าไหร่ แต่จะรู้สึกแบบขำกันมากกว่าว่าปกติเล่นกันเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง แต่ครั้งนี้พี่เขาต้องเล่นเป็นคนที่แอบชอบเรา ก็เลยแบบขนลุกอะไรแบบนี้ค่ะ (หัวเราะ)

เรื่องนี้มีอะไรที่น่ากลัวน่าลุ้นน่าตื่นเต้นมากที่สุด

ที่หนูรู้สึกกลัวเลยคือซีนผี เพราะหนูกลัวผีมากๆ ด้วยอยู่แล้ว แล้ววันนั้นเป็นเหมือนซีนที่หนูต้องหันหลังให้ผี และพี่ที่เขาเล่นเป็นผีต้องเอามือไต่จากหลังแล้วมาจับตรงไหล่ มันน่ากลัวมากค่ะ คือหนูก็รู้ว่าเป็นมือพี่เขาแต่งเอฟเฟกต์ แต่มันเหมือนจริงมากบวกกับบรรยากาศในโลเคชั่นที่ถ่ายทำก็ทำให้หนูขนลุกจริงๆ ก็เลยรู้สึกกลัวซีนนั้นเป็นพิเศษค่ะ

ได้แสดงเรื่องนี้หนูว่ามันมีความตื่นเต้นสำหรับหนูหลายๆ อย่างมากเลยค่ะ ฉากที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เล่นก็ได้เล่น ตั้งแต่กินกบ นอนจมเลือด แต่งเขี้ยวใส่คอนแทคเลนล์สีแดง ก็มีหลายซีนที่ท้าทายสำหรับหนูมากๆ อย่างฉากบูสกรีนก็จะยากตรงที่ต้องใช้จินตนาการมากๆ ว่า เราเหลือแค่คอและต้องคอยเชิดหน้า เพื่อให้ผมมันห้อยมาข้างหน้าและต้องสะบัดคอแรงๆ กลับบ้านไปคอเคล็ดเลยค่ะ (หัวเราะ) 

ผู้ชมจะได้ทั้งความสนุกและสาระบันเทิงจากเรื่องนี้แน่นอน

ค่ะ ยังไงหนูก็ขอฝากหนังเรื่อง “SisterS กระสือสยาม ไว้ด้วยนะคะ หนังเรื่องนี้ครบรสจริงๆ ค่ะ ทั้งความสนุกสนานเข้มข้น, ดราม่า, แอคชั่น, ความสัมพันธ์ของพี่น้อง และก็จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของกระสือด้วย หนูเต็มที่กับหนังเรื่องนี้มากๆ ขอให้ทุกคนรักและช่วยกันสนับสนุนหนังเรื่องนี้ด้วยนะคะ แล้วเจอกัน 4 เมษายนนี้ค่ะ

ok3

โจ้พลอยยุคล โรจนกตัญญู” บทบาทคาแร็กเตอร์

เรื่อง“SisterS กระสือสยามหนูรับบทเป็น วีณา เป็นตัวละครที่โดนกดดันอยู่ตลอดเวลา คือถ้าเป็นวัยรุ่น ก็เป็นวัยรุ่นที่เครียดคนหนึ่ง ไม่มีพ่อแม่ให้ปรึกษา ตัวเขาอยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ชอบก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ชอบฟังเพลง ชอบวาดรูป ชอบผู้ชายคนหนึ่ง อย่างเรื่องความรักจะมีก็ไม่ได้ เหมือนมันมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่นั่นก็คือน้องสาวเรา จริงๆ ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เราก็โดนปลูกฝังจากลุงมาตลอดว่าเราต้องดูแลปกป้องน้องนะ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด ว่าเพราะอะไร ทำไมเราต้องยอมเสียสละอยู่ตลอด แต่ว่าเหมือนโดนฝังหัวมาแต่เด็กว่าต้องดูแลน้อง ไม่ให้น้องตกอยู่ในสภาวะอะไรบางอย่าง คือเรารู้แค่ว่าต้องทำ ถ้าไม่ทำน้องจะตกอยู่ในอันตราย เพราะมันมีเดดไลน์อยู่ในช่วงที่น้องกำลังจะอายุ 16 ปีที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชีวิตของเราไม่มีอะไรที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย ต้องทำทุกอย่างเพื่อน้องเพราะมีกันอยู่แค่ 2 คน คือลุงเป็นคนถ่ายทอดวิชาความรู้แก่เราในเรื่องการปรุงยา การต่อสู้ ฟันดาบ ร่ายมนต์ ทุกอย่างเพื่อให้เราปกป้องน้อง ในขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เราก็เก่งขึ้นแกร่งขึ้น แต่น้องเราก็ทรุดลง อ่อนแอลง เหมือนมันมีอะไรที่สวนทางกันอยู่ 

คาแร็กเตอร์นี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากโจ้ยังไง

ก็เหมือนนะคะคือทุกคนมีสิ่งที่เราอยากทำใฝ่ฝันว่าเราอยากเป็นแบบนี้ในชีวิตแต่ถ้าต่างกันยังไงคือในชีวิตจริงหนูคือได้ทำสิ่งนั้นจริงๆแต่กับวีณา คือมันมีภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับไว้ค่ะ ส่วนนิสัยส่วนตัวนี่พี่ๆ น้องๆ ที่มหาวิทยาลัยจะตั้งฉายาให้ว่า โจ้เด็กก้าวร้าว เพราะว่าเราเหมือนเป็นคนพูดตรงเกินไป จนไม่รักษาน้ำใจคนอื่น อันนี้ก็เป็นข้อเสีย ก็พยายามแก้ไขอยู่ บางทีมันก็มีข้อดีอยู่ในข้อเสียค่ะ

เรื่องราวของ “SisterS กระสือสยาม

“SisterS กระสือสยามเป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพันของพี่สาวน้องสาวที่ต้องต่อสู้ ตัวเรารับบทเป็น วีณา เป็นพี่สาว ก็จะมีความแข็งแกร่งมากกว่า ต้องคอยปกป้องดูแลน้องสาวที่มีความอ่อนแออยู่ มีบางสิ่งบางอย่างในตัวน้องที่จะพลิกผันไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตัวเราเป็นพี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงในอนาคต แต่ก็จะพยายามปกป้องดูแลรักษาชีวิตน้องให้ดีที่สุด วีณาต้องคอยปกป้องดูแลน้องจากความน่ากลัวบางอย่างที่มันกำลังคืบคลานเข้ามา

ในแง่การแสดงแตกต่างจากหนังเรื่องที่ผ่านมายังไงบ้าง

แตกต่างแบบโดยสิ้นเชิงค่ะคือในหนังสารคดี“BKKY” (2559) รับบทเป็นตัวเองเลย คือมันแทบจะไม่ต้องทำความเข้าใจในเหตุการณ์หรืออะไรเท่าไหร่ เพราะเหมือนเราเจอมันมากลับตัว มันเป็นประสบการณ์ที่เราเจอมาโดยตรงเพราะเราเข้าใจเหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้นๆ อยู่แล้ว แต่กับเรื่องนี้ตัวละคร วีณา มันเป็นอะไรที่โอเวอร์มาก เวอร์กว่าชีวิตวัยรุ่นธรรมดาที่มันจะได้เจอด้วยซ้ำ หนูว่าเรื่องนี้คือที่สุดแล้ว เหนื่อยกับมันมาก มีเรียนฟันดาบ รำดาบ โรลเลอร์เบลด แล้วก็แอคติ้ง หนูไม่เคยเรียนแอคติ้งมาก่อนเลย ตั้งแต่แสดงเรื่อง BKKY มาก็ไม่เคยเรียนแอคติ้งเลย เพราะเล่นเป็นตัวเอง มันไม่ต้องมี Workshop หรืออะไรแบบนี้ก่อน แต่มาเรื่องนี้ต้องมาเวิร์กช็อปกับน้องมิวนิค วันนั้นคือหนักหน่วงมาก เหมือนครูที่มาสอนปลุกอะไรในตัว เหมือนเขาพยายามละลายพฤติกรรมหนูกับน้องมิว รู้สึกว่าเราเป็นพี่น้องกันจริงๆ วันนั้นร้องไห้เลยค่ะ เหมือนเขาทำให้เรารู้สึกผูกพันกันมากๆ แล้วเขามาดึงให้เรามือให้หลุดจากกัน มันเหมือนทำให้เรากำลังสูญเสียน้องไป มันก็ร้องไห้ออกมาเลย ก็สนุกดีค่ะกับการเรียนแอคติ้ง

มีฉากไหนที่ประทับใจบ้าง

จริงๆก็ชอบแทบทุกฉากค่ะอย่างฉากสไลด์โรลเลอร์เบลดในตึกร้างนี่ก็ประทับใจอยู่ตึกร้างก็น่ากลัวแถมถ่ายเรื่องนี้คือคิว Night ตลอดตี 4 ตี 5 แบบเนี้ยทุกครั้งลงมาจากตึกคือแบบเช็ดจมูกออกมาคือดำปี๋เลยยิ่งกว่า PM 2.5 อีกค่ะ 

ฉากไล่ล่าที่สยามหนูรู้สึกสนุกกับฉากนี้มันเป็นฉากที่เรากับน้องต้องวิ่งหนีฝูงกระสือที่ไล่ล่าเราอยู่ถ่ายอยู่หลายรอบหลายมุมมากเหนื่อยแต่ก็สนุกดีค่ะนานๆทีได้วิ่งไปวิ่งมาในสยามแถมมีแฟนคลับมากรี๊ดน้องมิวนิคด้วย 

อีกซีนที่ชอบคือซีนที่พี่หญิง” (รฐา โพธิ์งาม) ที่เป็นนางพญากระสือมาจับกดคอ แล้วตอนนั้นเหมือนเราเห็นน้องอยู่ตรงหน้าที่กำลังจะกลายร่างเป็นกระสือ แต่เราทำอะไรไม่ได้ เราโดนกดทับอยู่ แล้วสิ่งที่เห็นคือน้องมองมาที่เรา แต่เราเองก็เอาไม่ไหวแล้วกับสถานการณ์นี้ คือมันหลายอย่าง ต้องต่อสู้กับแรงบีบตรงนี้ และเห็นน้องที่แบบเหมือนความพยายามของเราทุกอย่างตั้งแต่ต้นมันพังลงแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ

ok5

การร่วมงานกับน้องมิวนิค

น้องมิวทำงานร่วมกันง่ายค่ะเพิ่งมารู้จักกันเรื่องนี้เลยแต่ว่าน่าจะเคยเห็นน้องมาก่อนเพราะน้องเคยเล่นละครมาก่อนตอนเด็กๆตอนถ่ายเรื่องนี้น้องยังไม่ได้เป็น BNK พอปิดกล้องไป 1 ปีน้องก็เป็น BNK48 รุ่น 2 ไปแล้วแล้วฉันล่ะฉันทำอะไรอยู่ฉันเป็น BKKY สู้ค่ะ (หัวเราะ) 

เข้าขากันมั้ยในความเป็นพี่น้อง

ก็เข้ากันได้ดีค่ะ คือหนูก็รู้สึกว่าหนูแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว คือน้องเค้าเป็นคนนุ่มนวล นุ่มนิ่มมาก เวลาอยู่กองก็คุยเล่น แซวกันปกติ คือหนูไม่กล้าแกล้งน้องเยอะไง เพราะกลัวน้องจะเป็นอะไรไป เพราะน้องดูแบบจิ้มนิดนึงก็ล้มแล้วอะค่ะ (หัวเราะ) เหมือนในบทที่เล่นเลยค่ะ

การร่วมงานกับพี่หญิง รฐา

พี่หญิงนี่เขาไม่ต้องทำอะไรมากแค่เขายืนใส่ชุดสวยๆก็คือขนลุกจริงๆเป็นผีก็เป็นผีที่สวยมากจริงๆพี่เค้าเฟรนด์ลีมากน่ารักเป็นกันเองมากเรื่องของแอคติ้งก็ไม่ต้องพูดถึงละสุดยอดสอนน้องบ้างนะคะ(หัวเราะ) แค่สวมชุดตัวละครราตรีไปยืนหน้าเซตก็เฮ้ย…สวยอะ เหมือนเป็นนางพญาจริงๆ

ร่วมงานกับพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) ผู้กำกับมากไอเดีย

ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีฝีมือขนาดนี้เวลามีใครถามว่าเล่นหนังเหรอเล่นเรื่องอะไรใครเป็นผู้กำกับทุกคนแบบว้าว… ผู้กำกับ “องค์บาก” ผกก. “ต้มยำกุ้ง” เหรอก็ตื่นเต้นค่ะแต่พอเจอพี่เขาจริงๆก็ยิ่งตื่นเต้นก็รู้สึกว่าเขาขึงขังอะนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์คือมีความออร่าความน่ากลัวอะไรบางอย่างแบบยังไม่ทันต้องพูดหรือสั่งอะไรเรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ต้องเคารพนับถืออะ

คิดว่าภาพหรือการดีไซน์กระสือของพี่ปรัชจะออกมายังไง

คือกระสือในความคิดเราคือบ้านๆ ทุ่งๆ ทุ่งนา ฟางข้าว โผล่มาจากต้นไม้ แต่คือเรื่องนี้เหมือนเขาเอาความเป็นกระสือมาใกล้ตัวมากขึ้น ใกล้สังคมปัจจุบันมากขึ้น แบบวัยรุ่นสยาม ในกรุงเทพ ใครจะไปคิดว่าแบบท่ามกลางเมืองที่มีแสงสีมากมายจะมีกระสือเนี่ยนะมาปะปนอยู่ด้วย คือเขาก็แฝงในเรื่องที่สังคมไทยมีอยู่ อย่างเรื่องทำแท้ง หรือเรื่องคลินิกความงาม คือมันใกล้ตัวเรามากนะ เพราะสมัยนี้มันเป็นเรื่องปกติ กระสือในเวอร์ชั่นนี้ต้องมีความแปลกใหม่แน่นอนค่ะ รอดู ค่ะรอดู

เคยได้ยินเรื่องกระสือมาก่อนไหม

เคยค่ะเคยได้ยินแต่รู้สึกว่ามันไกลตัวมากไม่น่ามาหลอกเราเพราะเราเป็นคนในเมืองกรุง(หัวเราะ) 

ความน่าสนใจความโดดเด่นของเรื่องนี้

ก็เป็นหนังกระสือแนวใหม่พูดได้เลยว่าไม่มีทางเหมือนกระสือแบบเดิมๆที่เคยเห็นและมีมาบวกกับฝีมือของพี่ปรัชหนูว่าเรื่องนี้ต้องออกมาเจ๋งแน่ๆและก็คาแร็กเตอร์ของตัวละครที่น่าสนใจก็อยากเชิญชวนให้มาดูกันเอาจริงๆเลยถ้าไม่นับ BKKY นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่หนูได้เล่นแบบเต็มตัวมากๆค่ะเราทุ่มเทไปกับมันมากๆอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดก็จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 4 เมษายนนี้แล้วนะคะก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆกับตัวเราคือเราทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจทำการบ้านกับมาก็เยอะได้รับโอกาสได้รับบทนี้ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆทำออกมาเต็มที่ให้ดีที่สุดก็อยากให้ทุกคนมาดูกระสือในรูปแบบใหม่กระสือยุค 2019 บวกกับนักแสดงรุ่นเล่นรุ่นใหญ่ทั้งน้องมิวนิค, พี่หญิง, พี่ต๊อกและฝีมือของพี่ปรัชญาปิ่นแก้วเรื่องนี้ก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนค่ะ


ภาพยนตร์ไทยแอคชั่นระทึกขวัญ “SisterS กระสือสยาม” เข้าฉาย 4 เมษายนนี้

Photography : Nanthawat Chobngam