Cover Interview – Jespipat Tilapornputt

เป้าหมายของผมชัดเจน” … เรารู้จักเขาในนามของพระเอกช่อง ONE ‘เจษเจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์แต่การก้าวสู้บทพระเอกเต็มตัวนั้น ไม่ง่าย ยิ่งปัจจุบันมีนักแสดงหน้าใหม่พร้อมที่จะตบเท้าเข้ามาชิมลางเล่นละคร ในบทเด่นมากมาย แต่การรักษาตัวตนและพัฒนาฝีมือ เป็นสิ่งที่เขามุ่งมั่น ตั้งใจ และเขาก็ทำโอกาสที่ได้รับมาอย่างดีเสียด้วย

ok1

ระยะนี้เราเห็นคุณเปิดตัวเองมากขึ้น จากผู้ชายที่ค่อนข้างเก็บตัว

“ผมว่าสังคมเปลี่ยนไป การได้ออกมาเจอคนเยอะขึ้น คุยกับพี่ๆ สื่อมวลชนมากขึ้น เราได้รู้มุมมองของคนทำงานทั้งเขาและเราในหลายๆ ด้าน เราจะได้ทำในส่วนที่เรารู้ว่าเราทำอะไรดี เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะทำอะไร มันก็จะชัดเจนและมันก็ถูกเป้าหมายของเรามากขึ้น”

เหมือนคุณรู้แล้วว่าอยากจะทำอะไร

“ใช่ครับ, รู้ทิศทางไปในทางไหน ทำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ได้แก้ไขจุดบกพร่องของตัวเอง รู้รายละเอียดของงานมากขึ้น เพราะผมอยู่ในวงการนี้มา 7 ปีแล้ว มองว่าเรายังต้องเก็บประสบการณ์อีกมาก เริ่มต้นด้วยการเล่นหนังของพี่พชร์ อานนท์ ตั้งแต่ประมาณ ม.6 ก็ทิ้งช่วงไปสักพัก แล้วไปเรียนหนังสือ แต่ก็ยังมีไปเล่นหนังเขาบ้าง ไปแคสท์พวกโฆษณา ก็ทำเรื่อยๆ ทุกอย่าง ไม่ได้จริงจังขนาดนี้ครับ แล้ววันหนึ่งก็มีโอกาสได้เข้ามาแคสท์ที่เอ็กแซ็กท์ (ปัจจุบันคือช่อง ONE) แล้วก็เป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ประมาณ 1 ปี มีละครเรื่องหนึ่ง”

ok3

เริ่มแรกเล่นละครเรื่องแรก เป็นอย่างไรบ้าง

“เรือนเสน่ห์หายากมาก ทำอะไรไม่เป็นเลยครับ (หัวเราะ) เรียนมา 1 ปีนี่แทบไม่ได้ช่วยผมเลย คือเราไม่รู้ว่าหน้าเซ็ตกับในห้องเรียนมันไม่เหมือนกันเลย ในห้องเรียนเราทำได้ มันมีทั้งความตื่นเต้น มีทั้งคนที่เราเจอ แล้วผมเป็นคนขี้อายเมื่อก่อน ไม่ได้เป็นคนกล้าแสดงออกและไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องการแสดง”

ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์

“ผมรู้สึกว่าคนมีพรสวรรค์กับคนไม่มีพรสวรรค์ การใช้เวลาทำความเข้าใจต่างกัน และขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ด้วย หรือเราอาจจะมีแต่เราเอามันมาใช้ไม่เป็น”

ละครเรื่องชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ คุณขึ้นแท่นเป็นพระเอกเรื่องแรก มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

“6 เรื่องแน่ะกว่าจะได้เป็นพระเอก ก็เหนื่อยครับ แต่ว่าก็เป็นเรื่องที่คิดว่า ตอนนี้กลับไปเล่นอาจจะดีกว่านั้น เพราะผมรู้สึกว่าผมพัฒนาได้มากกว่านั้นได้อีก เหมือนมันยังไม่สุด แต่ยังไงเรื่องชีวิตเพื่อฆ่าทำให้ฝีมือการแสดงของผมมันกระโดดขึ้นมามาก เมื่อก่อนเล่นแต่ละเรื่องมันก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาตามประสบการณ์ แต่เรื่องนั้นคือเหมือนเจอความยาก ความกดดันมาก แล้วเราต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำเยอะมากๆ ทั้งการแสดง และอารมณ์ด้วย การแสดงแอ็คชั่น แล้วก็เป็นพระเอกเรื่องแรกด้วย มันสำเร็จไปอีกขั้น”

ok2

นั่นแหมายความว่า ทุกความพยายามของคุณคือไปให้ถึงเป้าหมาย

“มันเป็นเป้าหมายผมแต่แรกอยู่แล้วครับ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าความประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงหรือว่าการแสดงมันเป็นยังไง แต่ของผมมันคือสิ่งนั้น เพราะว่าผมไม่ได้เริ่มจากเป็นพระเอก แล้วผมตั้งเป้าว่าต้อง archive อะไรสักอย่างที่มันเป็นการการันตีว่าเราประสบความสำเร็จน่ะ สักวันหนึ่งถ้าผมเล่นดีขึ้นเรื่อยๆ ในบทรอง ในบทร้ายบ้าง สักวันหนึ่งผมจะได้ขึ้นมาเป็นพระเอก มันเป็นสิ่งที่มันการันตีความสำเร็จสำหรับอาชีพของผม ในมุมของผมนะครับ”

ทราบมาว่าที่บ้านทำธุรกิจแล้วคุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างไรบ้างเมื่อคุณมาถึงจุดนี้

“คุณพ่อคุณแม่โอเคครับ ท่านให้ทำอะไรทุกอย่างตามใจของลูกทุกคนอยู่แล้ว แต่ว่าพ่อผมเขามีวิธีสอนลูกอยู่ เขาจะมีขีดขั้นของสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ถ้าถึงจุดนี้ ถือว่าคุณทำได้ คุณอยู่กับมันได้ และมั่นคงหรือเปล่า เพราะอย่างผม พ่อผมจะมีเวลาให้ 2 ปีในการพิสูจน์ตัวเองว่าประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราเลือก

“โอเค ผมเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่จะมีอะไรมาการันตีให้พ่อผมเห็นว่า ผมพัฒนาขึ้นมาแล้วในสายอาชีพของผม หรือว่ามัน success ซึ่งสถานะทางการแสดงนั่นแหละที่มันจะตอบโจทย์ว่าเราอยู่ตรงนี้ได้แล้วเราดีขึ้นจริงๆ การขึ้นมาเป็นพระเอกนี่แหละมันทำให้ที่บ้านผมเห็นและไว้ใจ”

ok4

พูดถึงละครที่กำลังออนแอร์อยู่ เป็นอย่างไรบ้าง

“สายลับจับกลิ่น เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ผมมองว่ามันยาก (หัวเราะ) ตัวละครตัวนี้มีความใกล้เคียงกับชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ แต่ว่ามันยากกว่าในความที่ว่าเขาเป็นดีเจ เขาไม่ได้เป็นนักฆ่าอย่างเดียว มันก็เลย contrast กันมากๆ ในสิ่งที่เขาเป็นกับสิ่งที่เขาต้องทำ เหมือนเล่น 2 ตัวละคร เลยบาลานซ์ยากว่ามันต้องทำแค่ไหน แต่ว่าก็ต้องทำให้คนรู้ด้วยว่าเราเป็นอะไร”

แล้วกับนางเอกน้องมารีล่ะคะเป็นยังไงบ้าง 

เก่งครับเขาเพิ่งได้รางวัลไปนี่ยินดีด้วยผมว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์สามารถเข้าใจในสิ่งที่อ่านแล้วก็ขมวดรวมและกลืนมันเข้าไปและเล่นออกมาได้อย่างธรรมชาติซึ่งไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนคือหลายๆคนทำการแสดงจากการฝึกซ้อมซ้อมที่บ้านตีความนั่งทำการบ้านแต่มารีไม่ใช่เขาอ่านบทแล้วก็กลืนเข้าไปเป็นตัวเองและเล่นออกมายังตัวละคร”

ตอนนี้ดารานักแสดงเยอะมาก คุณคิดว่าเราจะทำยังไงให้มันอยู่ในระดับพระเอกตลอดไป

“ต้องฝีมือครับ ถ้าเราเก่งและเราเก่งมากกว่านี้น่ะ คงไม่มีใครกล้ามาเอาเราลง หมายถึงว่าไม่ใช่ในทางที่ต่อสู้กันนะ หมายถึงคนที่ซัพพอร์ตเราอยู่น่ะ เขาก็จะซัพพอร์ตเราเหมือนเดิม เพราะเราก็ทำให้เขาเห็นว่าเราก็พัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ”

ok5

แล้วงานสังคมที่คุณกำลงทำอยู่ล่ะ

“ผมเป็นทูตโครงการชื่อ Adam’s Love Global Foundation เกี่ยวกับการสนับสนุนและเปลี่ยนทัศนคติคนให้ไปตรวจเลือด เพื่อตรวจเชื้อ HIV และโรคเอดส์”

มองอย่างไรกับปัญหานี้ในสังคมปัจจุบัน

“ผมมองว่าคนติดเชื้อไม่ได้เลวร้ายเท่ามุมมองของคนที่ไม่ติดเชื้อมองคนติดเชื้อ นั่นคือสิ่งที่ทำร้ายพวกเขา  ฉะนั้น สิ่งที่โครงการพยายามจะเปลี่ยนแปลงคือทัศนคติของคนที่มองโรคเอดส์และมองเชื้อ HIV ว่าเป็นโรคที่น่าอายและน่ากลัว อันตราย แล้วก็เป็นโรคที่เป็นแล้วต้องเสียชีวิตเท่านั้น เราอยากจะเปลี่ยนความคิดตรงนี้ว่า คือความคิดตรงนี้มันทำให้คนเสียชีวิตไปมากกว่าเดิม 

“แค่คน 2 คนเดินมา คนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนหนึ่งเป็นเอดส์ เราจะเดินเข้าหาคนเป็นมะเร็งมากกว่าคนเป็นเอดส์ เพราะเรารู้สึกว่า ไม่รู้สิ ผมก็ใช้คำไม่ถูก แต่เราโตมาอย่างนี้ เราโตมากับความเชื่อของคนที่เป็นโรคนี้ต้องประพฤติไม่ดีมา ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถติดได้หลายทางมากๆ ครับ แล้วคนที่เป็นก็เลยรู้สึกว่าน่าอาย ก็เลยรู้สึกกลัวในการที่จะไปรักษา ก็เลยไม่ได้รักษา มันก็เลยเป็นเหตุให้เสียชีวิตนั่นเองครับ”

ทุกวันนี้ ดารานักแสดงทุกคนเขาใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อให้ใกล้ชิดกับแฟนคลับมากขึ้น แล้วคุณล่ะ

“อืม…น่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะมาคู่กันชื่อเสียงกับนักแสดง เดี๋ยวนี้เขานับยอดฟอลโล่แข่งกันแล้ว (หัวเราะ) มันก็ต้องทำแหละ แต่ขึ้นอยู่กับ personal ของแต่ละคนว่าทำได้แค่ไหนและทำแบบไหน หรือว่าทำไปในแนวทางไหน 

“สำหรับผมผมก็ไม่ได้มากมาย เรายังเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวอยู่ ก็จะไม่เอาทั้งสองทางครับ ผมจะไม่เอาคนมารักเรามากๆ แล้วก็ไปพลีสคนมากๆ โดยที่ยังต้องการชีวิตส่วนตัวเราอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไปพลีสคนมากๆ เขาก็จะเข้ามาในพาร์ตส่วนตัวของผม แล้วเราก็จะอยู่กับตรงนั้นไม่ได้ ผมว่ามันก็ต้องแลกกัน ผมก็เลยโอเค ทำได้ประมาณหนึ่งครับ”

ok6

แล้วชีวิตส่วนตัวของคุณล่ะ 

“ว่างๆ ผมจะอยู่เฉยๆ ครับ ผมจะเป็นคนที่ทำอะไรทุกวันอยู่แล้ว พอมันจะมีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่า เหนื่อยแล้ว ก็จะอยู่เฉยๆ อยู่บ้าน เล่นเกม ดูซีรีส์ ไปเจอเพื่อน เป็นชีวิตแบบไม่มีสาระเลย แล้วมันก็จะวนลูปกลับมาเป็นชีวิตที่ทำๆๆ แล้วก็วนกลับมาเป็นอย่างนี้อีกทีหนึ่ง เหมือนเป็นช่วงพักของผมครับ คือผมไม่ต้องการพักอะไรที่มันใหญ่โตมากเหมือนการไปเที่ยวเมืองนอก ผมพักแค่นี้ผมก็โอเคแล้วครับ”

แล้วการแต่งกาย คุณตามแฟชั่นได้มากน้อยแค่ไหน

“ผมเสื้อยืดกางเกง ง่ายๆ เลย แฟชั่นได้ประมาณหนึ่ง นิดหนึ่งครับ แต่ว่าถ้าแฟชั่นผมก็จะเป็นแบบ ยังจะคุมโทนอยู่ จะเป็นสี สีก็จะประมาณสีเดิม ขาว ดำ เทา กรม แล้วก็ไม่ได้แฟชั่นเสื้อลายเสือ ไม่ไหว (หัวเราะ) มีสไตล์ได้ ซึ่งผมจะไปยึดเหมือนเดิมเป็นไปไม่ได้หรอก เรารู้สึกว่าแฟชั่นเป็นสิ่งที่ไม่ได้เสียหาย บางครั้งทำแล้วเราก็รู้สึกมั่นใจ และคนก็รู้สึกว่าเราดูดี ผมว่าเราก็ต้องทำเหมือนกัน”

ถ้าวันหนึ่ง คุณมีโอกาสได้โกอินเตอร์ล่ะ

“ไปสิครับ ไปอยู่แล้ว อะไรที่เป็นโอกาสผมว่าดีทั้งนั้นแหละ แต่เราก็ต้องเลือกดีๆ แต่ว่าโอกาสทุกโอกาสผมว่ามันดีหมด มันมีทั้งบทเรียนและสิ่งที่ทำให้เราพัฒนาขึ้นไปด้วยครับ”

ติดตามผลงานของเจษได้ที่ Instagram: @jesjpp

ok7


Photography: Narin Yun Lourujirakul

Make up and Hair: Tong Sutipat Pinchum

Clothes: Paul Smith, CK Calvin Klein #CKCALVINKLEIN #MYCALVINS , Emporio Armani @ Club21 Thailand

Location: Hotel Nikko Bangkok www.nikkobangkok.com

27 Soi Sukhumvit 55 (Thonglor),

Sukhumvit Road, Klongtan Nua,

Wattana, Bangkok 10110

Tel. +66 (2) 080 2111

Email: info@nikkobangkok.com

Creative Director: Termsit Siriphanich

Editor in Chief: Austin Thein